บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท หรือ “SVR” โชว์งบผลงานไตรมาส 1/66 ทำลายสถิติ สร้างท็อปฟอร์มทำนิวไฮต่อเนื่อง กวาดรายได้รวม 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% และมีกำไรสุทธิ 24.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นเป็น 11.30% ตอกย้ำการทำนิวไฮต่อเนื่องสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความสำเร็จของยอดขายที่เพิ่มขึ้นที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยของกลุ่ม Real Demand เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยแบบ Premium Economy (ความคุ้มค่า)  จ่อเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,621 ล้านบาท มั่นใจส่งผลเชิงบวกต่อรายได้ที่จะเริ่มทยอยเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังทันที ส่งซิกอัตราการเติบโตในปีนี้เติบโตก้าวกระโดด สร้างสถิติใหม่ ตอกย้ำการเติบโตสู่ระดับ High Growth  

นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส1/2566 ว่า บริษัทฯประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีรายได้รวมที่ 215.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (QoQ) ที่มีรายได้รวม 134 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 80.30 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 24.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 137.50 หรือ 14.02 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 10.20 ล้านบาท ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 11.30 เมื่ออิงจากช่วงไตรมาส1/2565 อยู่ที่ร้อยละ 7.46 และมีกระแสเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส1/2566 อยู่ที่ 30.19 ล้านบาท 

โดยจากผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปรับตัวสูงขึ้นในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสร้างท็อปฟอร์มทำนิวไฮต่อเนื่อง และนับว่าเป็นการทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์สะท้อนถึงความสำเร็จของยอดขายที่เพิ่มขึ้นที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยของกลุ่ม Real Demand เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยแบบ Premium Economy (ความคุ้มค่า)  

ทั้งนี้จากความสำเร็จของยอดขายที่เพิ่มขึ้น เป็นไปตามแผนกลยุทธ์การพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งจะเห็นได้จากรายได้จากโครงการเพื่อขายในไตมาส 1/2566 จำนวน 214.39 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 59.90 หรือ 80.31 ล้านบาท จาก 134.08 ล้านบาท ของไตรมาส 1/2565 ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายโครงการทุกประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้จาก 5 โครงการ คือ โครงการสิวารมณ์ ซิตี้ (นิคมพัฒนา - ระยอง), โครงการสิวารมณ์ แกรนด์ (สุขุมวิท - บางปู), โครงการสิวารมณ์ เน เจอร์พลัส (อัสสัมชัญ-ศรีราชา), โครงการสิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท - บางปู) และโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58)  

นายรณฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ด้วยจุดแข็งการพัฒนาโครงการแบบหมุนเร็ว (Quick Turnover) ก่อสร้างเร็ว -ขายเร็ว - ส่งมอบเร็ว และความคุ้มค่า ( Premium Economy) ส่งผลให้ “SVR” ก้าวสู่การเป็นผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ Premium Economy ภายใต้แนวคิด “Best Smart Living”รายแรกของกลุ่ม Real Demand 

โดยในปีนี้ SVR มีแผนขยายการพัฒนาโครงการเข้ามาในพื้นที่ใกล้โซน CBD ของกรุงเทพมากขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตสินค้า อีกทั้งยังขยายฐานกลุ่มลูกค้าเซกเมนต์ผู้อยู่อาศัยระดับบน ภายใต้การพัฒนาโครงการระดับพรีเมี่ยมบนบ้านระดับราคาที่สูงขึ้นแตะระดับ 12 ล้านบาท จากเดิมที่เราพัฒนาโครงการระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อยูนิต โดยมองว่าลูกค้าระดับดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง  ดังนั้นเชื่อว่า 3 โครงการที่เตรียมเปิดตัวในไตรมาส3 นี้ อาทิ 1).โครงการสิวารมณ์ ไฮด์ (บนทำเลวงแหวนกาญจนาภิเษก ) โครงการบ้านเดี่ยว ขนาด 100 ตารางวา จำนวน 29 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 11-3-80.5 ไร่ มูลค่าโครงการ 401 ล้านบาท ระดับราคาขายที่ประมาณ 12 ล้านบาทต่อยูนิต โดยโครงการดังกล่าวเป็นการขยายเซกเมนต์ผู้อยู่อาศัยระดับบน พร้อมทั้งเชื่อว่าจะสามารถเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯได้อย่างมีนัยสำคัญ 2).โครงการ สิวารมณ์ ปาร์ค (บนทำซอยประชาอุทิศ 76) โครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 91 ยูนิต บนพื้นที่ประมาณ 22-3-78 ไร่ มูลค่าโครงการ 528 ล้านบาท ระดับราคาขายที่ประมาณ 5 ล้านบาทต่อยูนิต และ 3). โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (บนทำเลบางกรวย-ไทรน้อย) โครงการบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 242 ยูนิต บนพื้นที่ 24-3-39 ไร่ มูลค่าโครงการ 691 ล้านบาท ระดับราคาขายที่ 2-3.5 ล้านบาทต่อยูนิต   

อย่างไรก็ตาม จากแผนกลยุทธ์แผนการขับเคลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,621 ล้านบาท จะส่งผลเชิงบวกต่อรายได้ที่จะเริ่มทยอยเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังทันที ส่งผลให้บริษัทฯตั้งเป้าอัตราการเติบโตในปีนี้เติบโตตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ภายใต้แนวโน้มสร้างสถิติ new high ใหม่จากปี2565 ที่มีรายได้รวม 726.15 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ก็จะยิ่งตอกย้ำการเติบโตสู่ระดับ High Growth อย่างยั่งยืนในอนาคต