วิกฤติสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐและยุโรป ส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวน โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากรายได้การท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งที่ประชุม กกร.คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะเติบโตประมาณ 3.0 ถึง 3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.ว่า วิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐและยุโรป ส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนและเพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากขึ้น โดยตลาดเริ่มคาดหวังให้เฟดลดดอกเบี้ยภายในปีนี้ ทั้งนี้ประเมินว่าผลกระทบทางตรงต่อภาคการเงินไทยมีน้อยมาก นอกจากนี้ในส่วนของเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณฟื้นตัว แต่อานิสงส์ยังจำกัดอยู่ในประเทศ ภาคการผลิตและการส่งออกของจีนยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวแย่ลงในเดือนมีนาคม ทั้งการผลิตและแนวโน้มการส่งออก ไม่ต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาค ดังนั้นแนวโน้มการส่งออกของไทยยังคงชะลอตัวและคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวในปีนี้
สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากรายได้การท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ โดยภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นและถือเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโต นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3 เดือนแรกเข้ามาถึง 6.5 ล้านคน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจจะสูงถึง 27-30 ล้านคน ส่วนอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากการจ้างงานในภาคบริการและรายได้ภาคเกษตรที่ยังอยู่ในระดับดี ส่งผลให้ฐานรายได้ของประชาชนปรับตัวดีขึ้น ที่ประชุม กกร.คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะเติบโตประมาณ 3.0% ถึง 3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้และประเมินว่ามูลค่าการส่งออกมีโอกาสหดตัวในกรอบ -1.0% ถึง 0.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 2.7 ถึง 3.2%
ทั้งนี้ที่ประชุม กกร.มีความกังวลต่อทิศทางการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและอาจจะเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินที่ผันผวนในทิศทางแข็งค่าซึ่งจะส่งผลต่อคนามสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก จึงมีความเห็นว่า ควรเร่งดำเนินการจัดหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ กลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ และ กลุ่มประเทศเอเชียกลาง เป็นต้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ เช่น ยูเออี และ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งในส่วนของซาอุดีอาระเบียกำลังมีการลงทุนอย่างมากมายเพื่อลดการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติโดยจะหันไปลงทุนในพลังงานสะอาด ไฮโดรเจน ชิ้นส่วนยานยนต์และการแปรรูปอาหาร โดยมีโครงการจะทำให้แล้วเสร็จก่อนปี ค.ศ.2030