วันที่ 31 มี.ค.66 พื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ รอยต่อระหว่าง 3 ประเทศ ไทย ลาว และเมียนมา ด้านอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ยังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกควันไฟอย่างหนาแน่น จนแทบจะมองไม่เห็นเกาะกลางแม่น้ำโขง ของประเทศเมียนมา และพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำ ของกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาสร้างในเขตพื้นที่ประเทศลาว ซึ่งทำให้ทัศนวิสัยในการมองงเห็นค่อนข้างต่ำ การขับเรือเดินสินค้าหรือเรือขนาดเล็กเพื่อการท่องเที่ยวเป็นไปด้วยความลำบาก ซึ่งทางเจ้าท่าส่วนภูมิภาค จ.เชียงราย ได้ออกประกาศแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ขับเรือด้วยความระมัดระวังไม่ขับเร็วจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
นอกจากนี้ฝุ่นควันที่หนาแน่นยังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของอำเภอเชียงแสน โดยเฉพาะบริเวณองค์พระนวล้านตื้อ บ้านสบรวก ต.เวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ พบว่ามีนักท่องเที่ยวไปเยือนน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องงเที่ยวต่างชาติ ชาวยุโรปที่มีโปรแกรมมาท่องเที่ยวในพื้นที่อยู่แล้ว และมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเพียงบางส่วน ส่งผลทำให้ร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึกที่เรียงรายรอบสถานที่ท่องเที่ยวพลอยซบเซาไปด้วย แทบไม่มีลูกค้าเดินทางเข้าไปเลือกซื้อ รวมถึงสถานบรริการเรือนำเที่ยวที่มีอยู่ประมาณ 5 -6 แห่งก็มีนักท่องเที่ยวไปใช้บริการน้อยลง
นายอ่อง สุพันธ์ อายุ 38 ปี ผู้ปะกอบการเรือท่องเที่ยวท่าเรือสามพี่น้อง กล่าวว่า หมอกควันที่เชียงแสนเกิดขึ้นประจำทุกปี เพราะควันไฟจากปะะเทศเพื่อนบ้านลอยข้ามพรมแดนเข้ามา ซึ่งแม้ชาวบ้านส่วนใหญ่จะชิน แต่ก็ยังรู้สึกแสบตา จมูกและคอ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่รอว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งนอกจากปัญหาสุขภาพยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ปกติช่วงนี้ก็เป็นช่วงโลว์อยู่แล้ว ปกติมีลูกค้าก็ 5-6 เที่ยวต่อวัน แต่ทุกวันนี้เหลือเพียง 1-2 เที่ยว บางวันก็ไม่มีเลยทำให้เรือท่องเที่ยว 10 กว่าลำไม่มีลูกค้าเลย อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว
ขณะที่ตลอดทั้งวันยังคงเกิดไฟป่าขึ้นหลายพื้นที่ต่างๆ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่และชาวบ้านยังคงออกดับไฟและเฝ้าระวังตามจุดต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง
ทางด้านนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียราย กล่าวว่า สถานการณ์ไฟป่าถือว่าดีขึ้นมาก จากที่พบจุดความร้อนกว่า 100 จุด ปัจจุบันนี้เหลือเพียง 20-30 จุด ซึ่งได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่และเฮลิคอปเตอร์เข้าทำการดับไฟแล้ว คาดว่าจะสามารถดับได้ทั้งหมดในเร็วๆ นี้ แต่ทั้งนี้ก็ยังพบว่ายังมีการรลักลอบเผาอย่างต่อเนื่อง จึได้สั่งการให้ทั้ง 18 อำเภอ เร่งทำงานเชิงรุกทั้งการดับไฟ ป้องกันการเกิดไฟและเสาะหาผู้ลักลอบผา โดยประสานทางตำรวจให้มีการตรวจสอบเชิงลึกว่ามีการเผาทำไม ไม่ไช่เพียงเป็นการเผาแล้วอ้างว่าหาของป่า ล่าสัตว์ เพราะหลายรายที่จับกุมได้มีการเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีการเสพและตรวจค้นตัวพบยาเสพติดซุกซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งต้องหาให้ได้ว่ากลุ่มคนเผาเหล่านี้มีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือไม่ เพื่อที่จะได้แก้ไขที่ต้นเหตุได้ตรงจุด ไม่ให้มีการเผาอีก