ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% ซึ่งเป็นไปตามที่ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ กนง.ยืนยันที่จะดำเนินการให้อัตราดอกเบี้ยกลับไปอยู่ในระดับปกติอย่างช้าๆ (Gradual Policy Normalization remains appropriate) สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า กนง.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% อีกครั้งในเดือนพ.ค. และคงระดับ 2.00% ไปถึงสิ้นปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเฟ้อปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ระดับ 1%-3% โดย กนง.คาดว่าเงินเฟ้อปี 2566 จะอยู่ที่ 2.9% และจะลดลงไปที่ระดับ 2.4% ในปี 2567
นอกจากนี้ กนง. ระบุพร้อมปรับขนาด-เงื่อนไขขึ้นดอกเบี้ยหากแนวโน้มเศรษฐกิจ-เงินเฟ้อเปลี่ยนไปจากคาดหลังผลประชุม กนง.ออกนั้น Bond yield ในตลาดรองตราสารหนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นไปตามที่ตลาดคาด ผลกระทบต่อกองทุนรวมตลาดเงิน คาดว่าจะยังไม่มีผลกระทบมากนัก (ผลตอบแทนกองทุนยังไม่เปลี่ยนแปลง) เนื่องจากเป็นไปตามตลาดคาด ประกอบกับสภาพคล่องในตลาดเงินมีค่อนข้างสูง ทั้งจากปัจจัยภายในและเงินเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนของนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อตราสารภาครัฐระยะสั้น ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นครบเดือน เม.ย. อยู่ที่ 1.05%+/- ครบเดือน พ.ค. อยู่ที่ 1.3%+/- ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายอยู่มาก ไม่สะท้อนดอกเบี้ยนโยบาย
อย่างไรก็ดี หากเงินเก็งกำไรหมดไป ผลตอบแทนตราสารน่าจะปรับตัวสูงขึ้นตาม และทำให้ผลตอบแทนกองทุนปรับตัวสูงขึ้นคาดว่า จะประมาณอีก 1 เดือน ผลกระทบต่อ กองทุนรวมตราสารหนี้คาดว่าจะยังไม่มีผลกระทบมากนัก ผลตอบแทนตราสารหนี้น่าจะผันผวนในกรอบ เนื่องจากดอกเบี้ยนโยบายใกล้จุดสูงสุดแล้ว
บลจ.ยูโอบี(ประเทศไทย) แนะนำเพิ่มเงินลงทุนบางส่วน ในกองทุน ตราสารหนี้ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า นโยบายการลงทุน เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กรณีกองทุนมีการลงทุนในต่างประเทศ กองทุนดังกล่าวอาจมีความ เสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก การลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตลาดเงินไม่ใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงจากการลงทุนซึ่งผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืน เต็มจำนวน