เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 16 มี.ค.66 นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พลตำรวจตรีสมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช นายประสงค์ จันทร์หยู นายอำเภอจุฬาภรณ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบบริเวณป่าละเมาะใกล้สถานีบริการน้ำมันร้าง ริมถนนสาย 41 หมู่ 2 ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ นครศรีธรรมราช หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบชาวต่างชาติจำนวนมากหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าละเมาะดังกล่าว และพบว่าทั้งหมดเป็นมุสลิมโรฮีนจา ที่ถูกขนย้ายมาทิ้งไว้ โดยขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่ต่างแตกฮือไปคนละทางก่อนที่จะสามารถควบคุมไว้ได้ในพื้นที่จำกัดเป็นชาย 32 คน หญิง 10 คน รวม 42 คน ส่วนใหญ่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี และมีเด็กอยู่ในนี้อีกจำนวนหนึ่ง

เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลได้ความว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมามีรถยนต์ตู้สภาพเก่าอย่างน้อย 2 คนพาชาวโรฮีนจา เหล่านี้มาทิ้งไว้ในจุดดังกล่าวก่อนที่จะหลบหนีหายไป คาดว่ามีรถสำรวจล่วงหน้าไปพบกับด่านตรวจความมั่นคงห่างจากจุดนี้ไปราว 2-3 กิโลเมตรทำให้เกิดความกลัวการถูกจับจึงจำเป็นต้องทิ้งชาวโรฮีนจา ทั้งหมดที่ขนย้ายมาให้เผชิญชะตากรรมก่อนที่จะหลบหนีไป

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้สืบข้อมูลผ่านล่ามได้ความเบื้องต้นว่า ชาวโรฮีนจา กลุ่มนี้เดินทางมาจากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา หลบหนีภัยสงครามและความลำบากในพื้นที่อาศัยของตนเอง ตัดสินใจหลบหนีออกจากประเทศเมียนมาผ่านการประสานงานของนายหน้าระหว่างประเทศ จากนั้นได้จ่ายค่าหัวให้นายหน้าในการเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังประเทศมาเลเซีย คนละ 60,000-70,000 บาท ออกจากเมียนมามาทางทะเลและมาขึ้นฝั่งทางฝั่งทะเลอันดามันใช้เวลากลางทะเลหลายวัน ก่อนมาถึงประเทศไทยแล้วเดินทางต่อด้วยรถยนต์ที่นายหน้าจัดหาเพื่อมุ่งหน้าไปยังประเทศมาเลเซีย แต่เมื่อมาถึงบริเวณนี้ได้ถูกทิ้งระหว่างทางโดยไม่รู้ว่าคนขนย้ายหลบหนีไปไหนกระทั่งเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม

ขณะที่นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานกับทุกหน่วยงานจัดตั้งคณะกรรมการคัดกรองการค้ามนุษย์ตามกฎหมายเพื่อทำการสอบสวนและคัดแยกชาวโรฮีนจา กลุ่มนี้ว่า มีพฤติการนำพา เดินทางไปยังปลายทางเข้าข่ายค้ามนุษย์หรือไม่หากเข้าข่ายถือว่าชาวโรฮีนจา ที่พบนี้เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ แต่หากไม่เข้าข่ายจะเป็นผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ส่วนผู้เกี่ยวข้องในการนำพา จะถูกดำเนินคดีในข้อหานำพาให้ที่พักพิงโดยผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน