“เจ้าคุณน้อย” เชิญชวน พุทศาสนิกชน ร่วมสักการะ “ท้าวมหาพรหม”เฉลิมพระเกียรติ เนื่องใน กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงพระชนมายุ 67 พรรษา เพื่อเป็นสิริมงคล
พระโสภณธรรมวงศ์ (เจ้าคุณน้อย) เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร พระอารามหลวงแขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม. เปิดเผยถึงโครงการสร้างมงคลสถาน องค์มหาเทพ ท้าวมหาพรหม เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ67 พรรษา 2 เมษายน 2565 เพื่อประดิษฐานเป็น Landmark ของแขวงบางขุนพรหม เพื่อเป็นที่สักการะระลึก ธรรมของพระอริยบุคคลทางคติพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นสถานที่พฒันาการท่องเที่ยวของเขตพระนครและเป็นมงคลสถานของชาติ ณ วัดอินทรวิหาร พระอารามหลวง เขตพระนคร กทม.
สำหรับองค์มหาเทพ ท้าวมหาพรหม เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นที่สักการะระลึกธรรมตามรอยพระอริยบุคคล ทางคติพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นสถานที่พัฒนาการท่องเที่ยวของเขตพระนคร และเป็นมงคลสถานของชาติ ณ วัดอินทรวิหาร
พระโสภณธรรมวงศ์ กล่อวอีกว่า สำหรับประวัติการสร้าง “ท้าวมหาพรหม” เพื่อประดิษฐานเป็น Landmark บางขุนพรหม ด้วยวัดอินทรวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กทม. คณะสงฆ์ และคณะกรรมการวัดอินทรวิหาร โดยมี พระโสภณธรรมวงศ์ (เจ้าคุณน้อย) เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงานฝ่ายสงฆ์ ร่วมกับ พุทธศาสนิกชน ทุกหมู่เหล่า โดยมีนายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินงานฝ่ายคฤหัสถ์ ร่วมจัดโครงการสร้าง เทวะมงคลสถาน “องค์มหาเทพ ท้าวมหาพรหม” ปางประทานพร
เพื่อ 1.เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรันราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระชนมายุ 67 พรรษา 2 เมษายน 2565 ,2.เป็นที่สักการะ ระลึกธรรม และสถิตดำรงอริยบุคคลประกอบด้วยขั้น 1.พระโสดาบัน, 2.พระสกทาคา, 3.พระอนาคามี,4.พระอรหันต์ และ 5.พระโพธิญาณ ตามคติแนวทางของพระพุทธศาสนา จารึกในไตรภูมิพระร่วง ,3.เพื่อเป็นจุด Landmark ของที่ตั้ง ณ “บางขุนพรหม” ,4.เพื่อเป็นสถานที่พัฒนาการท่องเที่ยวของเขตพระนคร และมงคลสถานของชาติสืบต่อไป
ท้าวมหาพรหม หรือ มหาโสฬสพรหม เป็นประติมากรรมรูปเคารพทางศาสนวัตถุที่ทรงไว้ซึ่งพรหมลักษณะที่สำคัญ คือ ได้รับอิทธิพลทางศิลปะแบบศรีวิชัย ทรงมี 5 พระพักตร์ และ 16 พระกร ประทับยืนประทานพร สูง 3.75 เมตร โดยประกอบด้วยความหมายโดยกิริยาท่วงท่าและรายละเอียดความหมายเชิงนัยยะ
ท้าวมหาพรหม หรือ พระมหาโสฬสพรหม ผู้เป็นบรมครูแห่งพรหมทั้งปวง ตำนานประวัติซึ่งมีการขาดหายไปจากการบันทึกกว่า 800 ปี จากบันทึกการสร้างครั้งสุดท้ายช่วงกลางรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราว พ.ศ.1688- พ.ศ.1761 มหาโสฬสพรหม คือ พระพรหม ผู้เป็นอธิบดีแห่งพรหม ทั้งปวง พระองค์ทรงไว้ซึ่งปัจเจกลักษณะเฉพาะ และโฉมภายนอกที่สำคัญผิดแผกแตกต่างไปจากพรหมในปัจจุบันสมัย คือ พระองค์ทรงมี 5 พระพักตร์”
โดยปรากฏในหลักฐานประติมากรรมเชิงศาสนวัตถุ ช่วงวรสมัยแห่งอาณาจักรศรีวิชัย ราวพุทธศตวรรษที่ 13 ล่วงเลยมาจนถึงราวสิ้นพุทธศตวรรษที่ 17 ของจักรวรรดิขแมร์หรืออาณาจักรขอมโบราณ ซึ่งตรงกับช่วงกลางรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗7 เมื่อครั้งที่พระองค์ได้ทรงสถาปนาคติความเชื่อ โดยเปลี่ยนมานับถือและทรงไว้ซึ่งศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา ร่องรอยเดิมทางประวัติศาสตร์ของมหาโสฬสพรหมหรือคติของ “พรหม 5 หน้า” จึงเลือนลับหายไปพร้อมกาลเวลาที่ล่วงเลยมานับสหัสวรรษตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ท้าวมหาพรหม หรือ โสฬสพรหม แปลว่า 16 ซึ่งเป็นศัพท์ที่มักปรากฏบ่อยครั้งบนจารึกในพระไตรปิฎก ในบริบทขยายความของศัพท์คำว่า “พรหม” อีกทั้งยังปรากฏในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาอื่น ๆ อีก เช่น ไตรภูมิกถา (วรรณกรรมไตรภูมิพระร่วง) ทำให้เกิดความเข้าใจถึงที่มา, เรื่องราวหลักคำสอน และหลักธรรมสำคัญในเนื้อหาของวรรณกรรมได้อย่างลึกซึ้งขึ้น หมายถึง สภาวะแห่งพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น ซึ่งเป็นพรหมภูมิประเภทรูปพรหม หรือ รูปาวจรภูมิ อันหมายถึง ชั้นภูมิที่พรหมผู้วิเศษมีรูป หากแต่เป็นสภาวะของรูปทิพย์ที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ จักเห็นได้ก็โดยทิพยวิสัยเท่านั้น เป็นภพภูมิอันเป็นสถิตยวิมานและภูมิเสวยสุขของพรหม โดยจักอุบัติขึ้นเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก อันเป็นแดนซึ่งมีแต่ความสุขอันเกิดจากฌานเท่านั้น โดยแบ่งชั้นตามอำนาจฌานที่ได้บรรลุแล้ว อีกทั้งปราศจากความสุขที่เนื่องด้วยกามราคะ ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับชั้นฉกามาพจรสวรรค์ อันเป็นสุคติภพที่ยังคงเกี่ยวข้องกับกามภูมิ มีจำนวนทั้งสิ้น 6 ชั้น
ฉะนั้นแล้ว ความเกี่ยวข้องโดยลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนาอย่างแนบแน่นในทุกกัปหลังจากสิ้นพุทธันดรหนึ่ง เพราะผู้ที่น้อมกราบอาราธนาและอัญเชิญพระมหาโพธิสัตว์ที่พระบารมีเต็มแล้วจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาเสวยพระชาติเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในทุกภัทรกัป ก็คือ ท้าวมหาพรหม หรือ มหาโสฬสพรหม นั่นเอง
พระโสภณธรรมวงศ์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางธรรม กล่าวได้ว่าพระพักตร์ ทั้ง 5 นั้น เปรี่ยมด้วยคุณธรรมของพระอริยบุคคล ตามคติที่ว่า พระอริยบุคคล หมายถึงบุคคลผู้ประเสริฐ ทางพุทธศาสนาถือว่าความเป็นพระอริยบุคคลนั้น กำหนดได้ด้วยการละสังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัดสัตว์) ไว้ในภพ ใครละได้น้อยก็เป็นอริยบุคคลชั้นต่ำ เมื่อละได้มากก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้น ใครละได้หมดก็เป็นพระอรหันต์ สังโยชน์มี 10 อย่าง เทียบตามส่วนที่พระอริยบุคคล ละได้เป็นลำดับดังนี้
พระพักตร์ ที่ 1 สถิตพระโสดาบัน ละสิ่งดังต่อไปนี้ 1.สักกายทิฏฐิ – ความเห็นว่าร่างกายเป็นของตน 2.วิจิกิจฉา – ความสงสัยว่าพระวัตนตรัยดีจริงหรือ 3.ศีลพตปรามาส – การเชื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ แล้วจะบรรลุนิพพาน คือพระอรหันต์,พระพักตร์ ที่ 2 สถิตพระสกทาคามี ละขั้นพระโสดาบัน แต่จิตคลายจาก ราคะ โทสะ และโมหะ มากขึ้น เมื่อบรรลุเป็นพระสกทาคามี จะเกิดอีกครั้งเดียว,พระพักตร์ ที่ 3 สถิตพระอนาคามี ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และรวมอีก 2 คือ กามราคะ – ความติดใจในกามารมณ์ม และปฏิฆะ – ความขัดเคืองใจ เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามี จะเลิกครองเรือน ประพฤติพรหมจรรย์ ตายแล้วจะไปเกิดในพรหมโลก ,พระพักตร์ ที่ 4. สถิตพระอรหันต์ ละขั้นพระโสดาบัน พระสกทาคา พระอนาคามี และรวมอีก 5 คือ
รูปราคะ – ความติดใจในรูป เช่นชอบของสวยงาม
อรูปราคะ – ติดใจในของไม่มีรูป เช่นความสรรเสริญ
มานะ – ความยึดถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นติดในสมณศักดิ์
อุทธัจจะ – ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ไม่สงบใจ
อวิชชา – ความไม่รู้อริยสัจสี่
เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ หากสิ้นชีวิตแล้วจะไม่เกิดอีก และพระพักตร์ ที่ 5 สถิตพระโพธิญาณ หรือ พระโพธิสัตว์ คือพระอริยบุคคล ผู้บำเพ็ญบารมีธรรมอุทิศตนช่วยเหลือสัตว์ผู้มีความทุกข์ยาก และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตที่บำเพ็ญบารมีต่อ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
ขอเชิญประชาชนและพุทธศาสนิกชนทุกท่านทุกคนเข้ามาขอพรและสามารถร่วมบุญได้ที่วัดอินทรวิหาร โดยตรง หรือโอนปัจจัยเพื่อร่วมสร้าง “ท้าวมหาพรหม” ได้ที่ ธนาคารกรุงไทย 0700287523 ชื่อบัญชี ท้าวมหาพรหม วัดอินทรวิหาร หากต้องการรับใบอนุโมทนาหรือ ติดต่อผ่าน Facebook วัดอินทรวิหาร พระอารามหลวงได้ทุกวัน
ทั้งนี้ทางวัดอินทรวิหาร ได้ จดสิทธิบัตรกับทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทงานศิลปกรรม ประเภทลักษณะงาน ประติมากรรม เอาไว้แล้วเพราะเป็นงานซึ่งเป็นชิ้นแรกและชิ้นเดียวในประเทศไทย