ขอนแก่นอินโนเวชั่นเซ็นเตอร์ โดยบริษัท แอดลิบ แมเนจเม้นท์ จำกัด เตรียมจัดงาน LAB Future & BIO Expo 2022 ครั้งแรกกับงานแสดงเทคโนโลยี เครื่องมือและบริการทางห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ และงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อการพัฒนาและการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือและกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2565 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนเเก่น (ไคซ์)
คุณกวิน ว่องกุศลกิจ กรรมการขอนแก่นอินโนเวชั่นเซ็นเตอร์ และ บริษัทแอดลิบแมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะ ผู้จัดงานหลัก เปิดเผยถึงมุมมองถึงที่มาที่ไปของการจัดงาน โดย นายธีรยุทธ์ ลีลาขจรกิจ ผู้อำนวยการ บริษัทแอดลิบแมเนจเม้นท์ จำกัด ได้กล่าวถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจเครื่องมือวิทยาศาตร์และห้องปฏิบัติการฯ และการวิเคราะห์วิจัยในภูมิภาคอีสาน
“ จากภาพรวมมูลค่าตลาดเครื่องมือแล็บ ประมาณ 80,000 ล้านบาท โดยภาคอีสาน ครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องมือแล็บเป็นอันดับสอง (28%) หรือกว่า 22,400 ล้านบาท รองจากภาคกลางและภาคตะวันออก (40%) แต่ถือเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตของตลาดเครื่องมือแล็บสูงถึง 25% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที๋ 10-15% ต่อปี ประกอบกับ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและนักวิจัยในพื้นที่ การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนที่มากขึ้น การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม รถไฟความเร็วสูงภายในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทำให้เกิดความต้องการเทคโนโลยีเครื่องมือทางห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย ทั้งในภาคราชการและอุตสาหกรรม เพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้า สร้างนวัตกรรม และพัฒนางานวิเคราะห์ทดสอบในพื้นทีให้รวดเร็วมากขึ้น ที่สำคัญ นอกเหนือจากงานแสดงเทคโนโลยีและเครื่องมือทางห้องปฏิบัติการ ฯ แล้ว งาน LAB Future & BIO Expo 2022 จะเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้บริหาร ผู้ประกอบการ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้สนใจโดยทั่วไป ทั้งในและต่างภูมิภาค ได้แลกเปลี่ยนความรู้ และความร่วมมือในด้านต่างๆ จากงานประชุมสัมมนา พื้นที่แสดงนวัตกรรมและการเจรจาธุรกิจภายในงาน “
ศ.สพ.ญ.ดร. อัจฉริยา ไศละศูต ผู้อำนวยการสำนักงาน สมาพันธ์ สมาคมสัตวแพทย์แห่งเอเชีย กรุงเทพฯ ตัวแทนจากภาควิชาการด้านสุขภาพ เผยว่า “ลุ่มน้ำโขง เป็นภูมิภาคที่ทางสมาพันธ์ ฯ ให้ความสำคัญ และสนับสนุน แนวนโยบาย สุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health Policy ที่เน้นบูรณาการสุขภาพคน สุขภาพสัตว์และสิ่งแวดล้อม ผ่านเครือข่าย มหาวิทยาลัย หน่วยงานต่างๆ ในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง โดยสมาพันธ์ ฯ ได้จัดงานประชุมสัมมนาในประเด็นสำคัญ ทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติ อาทิ โรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพของปศุสัตว์และเกษตรกรรายย่อยในภาคอีสาน ความสำเร็จของการเฝ้าระวังโรคของหน่วยงานต่างๆ การควบคุมโรคพยาธิใบไม้ในตับแบบบูรณาการ สุขภาพหนึ่งเดียวกับความท้าท้ายและโอกาสพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง ฯลฯ
ในส่วนการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับภูมิภาคอีสาน นั้น คุณสุวรรณ พงษ์สังข์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมการค้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยว่า “ภูมิภาคลุ่มน้ำโขงถือเป็นแหล่งธรรมชาติที่เชื่อมโยงจังหวัดและประเทศเพื่อนบ้าน การมีเทคโนโลยีมาช่วยส่งเสริมศักยภาพของระบบชีวภาพต่างๆ ในภูมิภาค คือการช่วยพัฒนาท้องถิ่นได้ในหลายมิติ ทั้งเรื่องพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง สัตว์เศรษฐกิจ หรือ ปศุสัตว์ต่างๆ นอกจากนี้ อีสานมีความโดดเด่นและศักยภาพในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร เกษตรและปศุสัตว์ การแพทยและสาธารณสุข ดังนั้น การใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ผนวกกับความสามารถของบุคคลากรในวงการ จะช่วยสนับสนุนให้ภาคอีสานเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ หรือศูนย์กลางการแพทย์ลุ่มน้ำโขง ที่สามารถแบ่งปันความรู้และให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านได้ ทำให้เกิดความยั่งยืนร่วมกันในภูมิภาค ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือเครื่องมือวิเคราห์ทางห้องแล็บ ที่เหมาะสมกับพื้นที่ภาคอีสาน อาทิ การคัดเลือกสายพันธุ์ การสกัดและวิเคราะห์แยก สารบริสุทธ์ การตรวจหาสารพันธุกรรม การวิเคราะห์โปรตีน การตรวจหาเชื้อต่างๆ ฯลฯ
ในส่วนของ ขอนแก่นอินโนเวชั่นเซ็นเตอร์ คุณกวิน ว่องกุศลกิจ กรรมการขอนแก่นอินโนเวชั่นเซ็นเตอร์ เผยว่า บริษัท มิตรผล ได้ริเริ่มโครงการและตนได้มีโอกาสมาช่วยพัฒนาต่อยอด และเป็นโอกาสสอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่องเศรษฐกิจฐานชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ซึ่งภาคอีสานมีศักยภาพในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมอาหาร ยา เครื่องสำอาง เป็นต้น ดังนั้น ขอนแก่นอินโนเวชั่นเซ็นเตอร์จึงเป็นส่วนสร้างระบบนิเวศทาวงนวัตกรรมและการค้นคว้าวิจัย ให้เกิดกับภูมิภาคอีสานและลุ่มน้ำโขงอีกทางหนึ่ง
สำหรับประเทศไทย สถิติในปี 2563 ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด มีการลงทุนด้าน R&D อยู่ที่ 1.33% GDP หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบในกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 2 เป็นรองจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ 1.83% GDP สัดส่วนการใช้งบประมาณสำหรับ R&D อยู่ที่ภาคเอกชน 68% ส่วนอีก 32% กระจายอยู่ที่ภาครัฐบาล อุดมศึกษา รัฐวิสาหกิจ และเอกชนที่ไม่ค้ากำไร การลงทุนด้าน R&D ตามภาคอุตสาหกรรมพื้นฐานของภูมิภาคอีสาน ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร ยา และเครื่องสำอาง พลังงานและสิ่งแวดล้อม เกษตรและปศุสัตว์ การแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา ศูนย์วิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มมูลค่าประเภทอาหารอีสาน สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาวัตถุดิบ การสกัดสารจากพืชต่างๆ การแปรรูปอาหารท้องถิ่น การพัฒนาโปรตีนจากแมลง เช่น จิ้งหรีดซึ่งมีจำนวนมากในภาคอีสานให้เป็น Super Food หรือ Future Food ซึ่งในอนาคต “วัตถุดิบในภาคอีสาน จะต้องถูกแปรเปลี่ยนให้มีมูลค่ามากขึ้น ผ่านกระบวนการอาหารแห่งอนาคต”
งาน LAB Future & BIO Expo 2022 จะเป็นงานแสดงเทคโนโลยีบนพื้นที่กว่า 3,500 ตารางเมตร ที่มีผู้แสดงงานจากกลุ่มผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องมือแล็บและไบโอเทค เคมีภัณฑ์และสารมาตรฐาน กว่า 80 บริษัท 500 แบรนด์ จากทั่วโลก พร้อมพื้นที่แสดงนวัตกรรม 4 ด้านสำหรับอนาคตอีสาน ประกอบด้วย แล็บ พลังงาน เกษตร พลังงาน แห่งอนาคต รวมทั้งการเจรจาธุรกิจและงานประชุมสัมมนาหลากหลายหัวข้อ อาทิ การควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพร the Future of Next Generation Sequencing Technology , Smart Lab Technology, Novel Bio Process Technology การประชุมด้านฟิโนมิกส์ การประชุมด้านโอกาสการลงทุนอุตสาหกรรมฐานชีวภาพในภาคอีสาน ฯลฯ เหมาะสำหรับผู้ชมงานในทุกอุตสาหกรรมและทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน
งาน LAB Future & BIO Expo จะจัดขึ้นเพียง 2 วันเท่านั้น ระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2565 เวลา 1000-1800 น ณ ฮอลล์ 1 ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น (ไคซ์) จังหวัดขอนแก่น สามารถลงทะเบียนชมงานล่วงหน้าและหมู่คณะได้ที่ www.labfutureexpo.com หรือ www.bioexpo.asia