เมื่อวันนี้ 5 เม.ย.2564 เวลา 14.00 น. ที่โรงแรม KOS เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ นายภุชงค์ ภาคธรรม อดีตผู้รับบำเหน็จบำนาญหรือเงินสงเคราะห์รายเดือนการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมคณะเป็นตัวแทนกลุ่มผู้เสียหายที่เคยทำงานที่การรถไฟแห่งประเทศไทย เดินทางยื่นหนังสือร้องเรียน ร้องทุกข์ แก่ นายสุขุม วงประสิทธิ ผู้ช่วย ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 22 ในฐานะหัวหน้าคณะสนองปณิธาน 4 ประการ / รักษาการ หัวหน้ากลุ่มรักเมืองไทยแห่งสุวรรณภูมิ โดยมี คุณเตือนใจ ขันติยู ประธานกรรมการบริษัท พรหมชีวา จำกัด ร่วมสังเกตการณ์ครั้งนี้ ทาง นายภุชงค์ ภาคธรรม อดีตผู้รับบำเหน็จบำนาญหรือเงินสงเคราะห์รายเดือนการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้กล่าวว่า วันนี้ตนเองได้เดินทางมาขอคำปรึกษาหารือ กับนายสุขุม วงประสิทธิ ผู้ช่วย ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีที่ตนเองและอดีตพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้รับบำนาญ กว่าสองหมื่นชีวิต เคยได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กับนายสุขุม วงประสิทธิ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการจ่ายเงินบำนาญ และเมื่อเดือน ม.ค.2564 ที่ผ่านมา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ก็ได้เซ็นต์อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยนำเงินจ่ายทดแทนให้ อดีตพนักงานบำนาญการรถไฟฯ เป็นที่เรียบร้อย แต่จนบัดนี้ยังไม่มีหน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการตามคำสั่ง รมว.คมนาคมแต่อย่างใด โดยนายภุชงค์ ภาคธรรม กล่าวต่อว่า การจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ หรือบำนาญ เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 15 พ.ศ.2518 ที่ผ่านมาเป็นเวลากว่า 75 เดือน ที่ตนเองและอดีตพนักงานการรถไฟฯที่เกษียณอายุ ไม่ได้รับเงินดังกล่าว ซึ่งตนเองได้เป็นตัวแทนยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือให้ นายสุขุม วงประสิทธิ ผู้ช่วย ฯพณฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อปลายเดือน ธ.ค.2563 ที่ผ่านมา ซึ่ง วันที่ 4 เดือน ม.ค.2564 ที่ผ่านมา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้มีคำสั่งอนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าว แก่อดีตพนักงานการรถไฟฯ ที่ยังคงค้างการจ่ายเงินบำนาญทั้งหมด มีจำนวนกว่า 11,600 คน รวมมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านบาทจนกระทั่ง 14 ม.ค.2564 เรื่องคำสั่งอนุมัติก็ได้ไปถึง ฝ่ายสวัสดิการและก็เงียบหายไป วันนี้ตนเองจึงเดินทางมาขอความอนุเคราะห์จาก นายสุขุม วงประสิทธิ 1. เพื่อช่วยประสานในการที่อดีตพนักงานการรถไฟฯจะขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมเรื่องดังข้างต้น 2.การจ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพ 15 เท่า ตามกฎกระทรวง พ.ศ. 2562 ที่การรถไฟฯได้มีการประชุมและมีมติเห็นชอบแล้วจำนวน 2 ครั้งดังนี้ ครั้งที่ 1เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 และ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 แต่การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ทำให้เงินจำนวนดังกล่าวล่าช้า ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบ 25,000 คน รวมเป็นเงินประมาณ 13,000 ล้านบาท เรื่องที่ 3. เงินบำเหน็จ บำนาญ ที่จะสามารถนำมาจ่ายให้อดีตพนักงานการรถไฟฯ นี้ การรถไฟฯ มีรายได้ค้างรับตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2561- 2563 ที่รัฐบาลต้องชดเชยจำนวนกว่า 238,836 ล้านบาท ซึ่งถ้ารัฐบาลจัดการจ่ายให้การรถไฟ ก็จะสามารถนำมาให้อดีตพนักงานได้หมดทุกคน สุดท้ายนี้ตนเองขอวอนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเห็นใจอดีตพนักงานบำเหน็จบำนาญ ที่ไม่มีเงินอันสมควรที่ต้องได้รับมานาน บางคนต้องอยู่อย่างลำบาก ไม่สามารถได้สิทธิ์การช่วยเหลือใดๆ เลยจากโครงการของภาครัฐ บางคนก้เสียชีวิตไปแล้ว ด้านนายสุขุม วงประสิทธิ ผู้ช่วย ฯพณฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 22 ได้กล่าวว่า ตนเองยินดีที่ให้ความช่วยเหลือประสานงานเรื่องดังกล่าวให้ เนื่องจากมีผู้เดือดร้อนจำนวนเยอะมาก ตนเองจำนำเรื่องความเดือดร้อนนี้ประสานให้ทางรัฐบาลได้รับทราบว่ามีอดีตพนักงานกการถไฟฯเดือดร้อนหลายหมื่นคนมากว่า 7 ปีแล้ว ซึ่งทางรัฐบาลน่าจะมีความพร้อมตนเองจึงคิดว่ารัฐบาลคงไม่ประวิงเวลาไว้ และการที่ตนเองมาเป็นตัวแทนกการรับเรื่องครั้งนี้เพื่อเป็นตัวกลางประสาน ระหว่างกลุ่มอดีตพนักงานบำเหน็จบำนาญการรถไฟฯและทางรัฐบาล เพราะหวังให้เกิดความยุติธรรม นอกจากนั้นตนเองยังเสมือนได้ช่วยรัฐบาลทางอ้อมที่เป็นตัวกลางทำให้อดีตพนักงานการรถไฟฯจำนวนดังกล่าว เกิดความพึงพอใจไม่ไปรวมตัวก่อม๊อบเรียกร้องสิทธิ หรือ เข้าร่วมกับม๊อบที่กำลังประท้วงในปัจจุบัน เพราะจะทำให้เศรษฐกิจยิ่งทรุดตัวลง ตนเองหวังว่าทาง ท่านนายกรัฐมนตรีจะให้ความเมตตา ให้กลุ่มผู้เดือดร้อนนี้ได้เข้าพบ และ รัฐบาลจะเร่งการสั่งจ่ายให้พี่น้องการรถไฟที่เดือดร้อนได้บรรเทาทุกข์ในบั้นปลายชีวิตกัน ซึ่งการรับเรื่องร้องเรียนช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นไปตามปณิธาน 4 ประการของ ฯพณฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 อันได้แก่ 1. เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน 2. ยกพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเอกของโลก 8,000 ปี และให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 3.ถวายความจงรักภักดีพระบรมราชจักรีวงษ์ 4. พัฒนาคนไทยให้มีอายุขัย 120-160 ปี ด้วยโอสถธรรม เพื่อดำเนินกิจกรรมพัฒนาบ้านเมือง สู่ความมีสันติสุข มั่นคง ยั่งยืน โดยจะพัฒนาทั้ง 4 ภาค ตั้งแต่ ล้านนา (ภาคเหนือ) ศรีโคตรบูรณ์ (ภาคอีสาน) อโยธยา (ภาคกลาง) และ ลังกาสุกะ (ภาคใต้) ด้วยยึดหลักสำคัญ ที่ว่า เพราะ..ประชาชน คือหัวใจ