กรณีเป็นข่าวโด่งดังที่มีความพยายามจะฟ้องร้องเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืน ศ วิชา มหาคุณ ประธานมูลนิธิต่อต้านการทุจริต และอดีต ปธ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกฏหมาย กรณีบอส กระทิงแดง ได้กล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559 ซึ่งได้วินิจฉัยอย่างชัดเจน และจะเป็นบันทัดฐานที่ต้องยึดถือปฏิบัติ กรณีที่ อปท จะฟ้องดำเนินคดีและเรียกเงินคืนกับ นางบวน โล่สุวรรณ อายุ 89 ปี เบี้ยเงินคนชรา 84,000 บาท ชาวบ้าน ต.ดีเจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ และนางสำฤทธิ์ ภู่สว่าง อายุ 83 ปี ชาวบ้านหมู่ 4 ต.จอหอ อ .เมือง นครราชสีมาจำนวนเงิน 83,383 บาท อันเป็นเบี้ยผู้สูงอายุที่ได้รับค่าครองชีพทั้งที่ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญตามสิทธิจากคู่สมรส หรือบุตรที่เป็นข้าราชการซึ่งเสียชีวิตไปก่อนแล้วนั้น ซึ่งเป็นการจ่ายโดยผิดหลง ของ องค์กรปกครองท้องถิ่น จึงเข้ากรณีลาภมิควรได้ ดังนั้นแม้ผู้สูงอายุ ที่รับเงินไว้ จะไม่มีสิทธิได้รับค่าครองชีพอีก แต่เมื่อรับไว้โดยสุจริต และใช้เงินนั้นหมดแล้วก่อนที่จะถูกเรียกคืน ทางองค์กรปกครองท้องถิ่นที่จ่ายไป ก็ไม่มีสิทธิติดตามเรียกเงินค่าครองชีพคืนได้ และผู้สูงอายุนั้นก็ไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้โดยมีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้วางหลักไว้ชัดเจนแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559 ซึ่งได้วินิจฉัยไว้ว่า จำเลยไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญตามกฏหมาย แต่โจทก์จ่ายเงินดังกล่าวให้จำเลยไปโดยผิดหลง จึงเป็นเงินที่จำเลยได้รับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้าง กฏหมายได้ และทำให้โจทก์เสียเปรียบอันเป็นลาภมิควรได้ หาใช่เป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิ์ติดตามเอาคืนได้อย่างเจ้าของทรัพย์สินไม่ และเมื่อได้ความว่าจำเลยได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญไว้โดยสุจริตและนำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่โจทก์จะเรียกคืน จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 412 ทางด้าน นายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ ปธ สภาเอสเอ็มอีไทย ได้กล่าวแสดงความเห็นใจนางบวน โล่สุวรรณ และนางสำฤทธิ์ ภู่สว่าง ว่าทั่งสองรับเงินมาด้วยความสุจริตและใข้จ่ายไปหมดแล้ว ซึ่งน่าเห็นใจที่สุด ขณะที่นายสว่าง เอื้อจงประสิทธิ์ ปธ ที่ปรึกษาสภาเอสเอ็มอีไทย ได้กล่าวว่า น่าเห็นใจคุณยายทั้งสองที่รับเบี้ยยังชีพมาด้วยความสุจริต และหวังว่า อปท จะมีทางออกร่วมกัน