สำหรับวงการค้าผักถ้าพูดถึง ‘เจ๊กี้แม่สอด’ เป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพของมะเขือเทศ ทั้ง ท้อ-สีดา-ราชินี เป็นผู้ค้าเบอร์หนึ่งของตลาดผักปรุงรส ณ ตลาดสี่มุมเมือง ด้วยจำนวนแผงค้าถึง 17 แผง เติบโตอย่างมั่นคงเท่ากับอายุของตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งถึง ณ วันนี้รุ่นลูกได้เข้ามาบริหารกิจการแทน โดยมีชื่อเจ๊กี้ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของตลาแห่งนี้ ทั้งนี้ เดือนเพ็ญ รักศักดิ์สยาม หรือ ชมพู่ ลูกสาวคนโตในบรรดาพี่น้อง 5 คน ที่เข้ามาดูแลกิจการทั้งหมดต่อจากคุณแม่ เล่าว่า ร้านเจ๊กี้แม่สอด เกิดมาพร้อมกับตลาดเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ขายตั้งแต่ยังเป็นลานท้ายรถ จนตลาดเปิดให้เช่าแผง ทางครอบครัวเป็นผู้เช่ายุคแรกๆ ที่เปิดแผงขาย ซึ่งในช่วงแรกล้มลุกคลุกคลานกับการเริ่มต้นธุรกิจที่มีรายได้ประมาณ 10,000 บาท จากการขายมะเขือเทศ 1 ตันต่อวัน ด้วยปัญหาการขนส่งสินค้า เพราะสินค้า คือมะเขือเทศ เกิดความเสียหายค่อนข้างมาก ก่อนจะค่อยปรับแก้ และเริ่มลงตัวในที่สุด ในปัจจุบันร้านเจ๊กี้แม่สอด มีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนตลอดเวลาประมาณกว่า 1,000,000 บาท หรือ 50 ตันต่อวัน โดยสินค้าที่ขายหลักๆ ได้แก่ มะเขือเทศท้อ มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศราชินี นอกจากนี้ ยังมี หอมหัวใหญ่ แครอท และมันฝรั่ง ที่มีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จนสามารถเพิ่มจำนวนแผงค้าตามธุรกิจที่ขยายตัว เช่นเดียวกับลูกค้า มีทั้งรายใหญ่ อย่าง ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงแรม 10 กว่าแห่ง รีสอร์ต ร้านอาหารกว่า 200 ร้านทั่วประเทศ รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าในตลาดผักกว่า 500 รายทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไปจนถึงตลาดในต่างจังหวัด ซึ่งในปัจจุบันร้านเจ๊กี้แม่สอด ถือเป็นหนึ่งในผู้ค้าส่งมะเขือเทศรายใหญ่ระดับประเทศ และในวันนี้ เดือนเพ็ญ ได้เข้ามาบริหารแทนคุณแม่อย่างเต็มตัว โดยมีน้องๆ รวมถึงรุ่นลูก หลาน เข้ามาช่วยงานในแต่ละฝ่าย ซึ่งทั้งหมดมาจากประสบการณ์การเรียนรู้งานตั้งแต่คุณแม่ได้สอนมาตั้งแต่เด็ก โดย เดือนเพ็ญ กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ คือ เรื่องคุณภาพ เป็นทั้งจุดแข็ง และจุดขายของร้านตั้งแต่ยุคก่อตั้ง เนื่องจากตั้งแต่รุ่นคุณแม่ จะเน้นเรื่องคุณภาพทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูก การผลิต คัดสรรมาอย่างดี เพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่มีคุณภาพ จนถึงวันนี้ทุกคนมั่นใจในสินค้าของร้านว่า ถ้าเป็นมะเขือเทศสีดาของเจ๊กี้ หมายถึงคุณภาพ เป็นมะเขือเทศ ท้อ-สีดา ที่สวยที่สุดในประเทศไทย อย่างไรก็ตามด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ร้านเจ๊กี้ นำการบริหารแบบลูกไร่ หรือ Contact Farming มาใช้ เพื่อให้มีผลผลิตเพียงพอตลอดทั้งปี โดยมีสวนอยู่ที่แม่สอด รวมถึงในส่วนของสวนที่ส่งให้ทางร้าน หรือลูกไร่ประมาณ 20-30 รายกระจายไปในแต่ละภูมิภาค ทั่วประเทศ ที่คอยป้อนผลผลิตให้ ซึ่งเป็นจุดได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้ค้ารายอื่นๆ เพราะตามธรรมชาติมะเขือเทศมีผลผลิตเพียงบางช่วงเท่านั้น ซึ่ง เดือนเพ็ญ กล่าวต่อว่า ด้วยวิธีการบริหารแบบลูกไร่ ทำให้ทางร้านมีสินค้าจำหน่ายตลอดทั้งปี ขณะที่เจ้าอื่นไม่มี รวมทั้งาสามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่สำคัญที่สุด คือ ทางร้านจะดูแลลูกไร่เป็นอย่างดี เช่น บางเวลาที่สินค้าล้นตลาด ทางร้านก็รับซื้อไว้ทั้งหมดเพื่อช่วยเกษตรกร บางครั้งไม่ได้เอากำไรเลย เพราะยึดหลักว่าหากลูกไร่อยู่ได้ ร้านก็อยู่ได้ อีกทั้ง เดือนเพ็ญ ยังพูดถึงเคล็ดลับที่ทำให้ร้านเจ๊กี้แม่สอด ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ คือ ความขยัน อดทน มุ่งมั่น ตั้งใจในการบริหารงาน โดยยึดหลักว่าลู กค้าทุกคนสำคัญเท่ากันหมด ไม่มีรายเล็ก รายใหญ่ สิ่งสำคัญคือ การไม่เอาเปรียบลูกค้า ค้าขายในราคาที่เหมาะสม เหนือสิ่งอื่นใดที่ช่วยให้ร้านเจ๊กี้แม่สอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ คือ ความช่วยเหลือจากตลาดสี่มุมเมือง ที่ดูแลมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น และใน อนาคตร้านเจ๊กี้แม่สอดยังเดินหน้าขยายกิจการต่อเนื่อง ทั้งการเพิ่มแผงค้าที่ตลาดสี่มุมเมือง นำผักชนิดอื่นๆ มาจำหน่ายเพิ่มเติม รวมทั้งการแก้ปัญหาในกรณีที่ผลผลิตในประเทศไทยไม่เพียงพอได้มีการนำเข้าสินค้าจากจีน อาทิ แครอท ที่ปลอดภาษี รวมถึงหอมใหญ่ และมันฝรั่ง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อพัฒนาการเติบโตเคียงคู่ไปกับตลาดสี่มุมเมือง ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ตลาดสี่มุมเมือง เป็นเหมือนบ้าน เป็นที่สร้างอาชีพ มีรายได้เพื่อดูแลครอบครัว มากกว่านั้นการพัฒนาของตลาดของสี่มุมเมือง ทั้งเรื่องสถานที่และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยเหลือผู้ค้า ทำให้ลูกค้าซื้อของได้ง่ายขึ้นสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ร้านค้าที่อยู่ในตลาดสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น