แพทย์เตือน! "เบาหวาน" ภัยเงียบคร่าชีวิตคนไทย ชี้วิถีชีวิตยุคใหม่เพิ่มความเสี่ยงทุกช่วงวัย เตือนผู้ป่วยเบาหวาน หากติดโควิด-19 เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงกว่าคนปกติ เมื่อวันที่ 17 ก.ย. รศ.พญ.นันทกร ทองแตง แพทย์สาขาวิชาต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิสม ภาควิชาอายุรศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า โรคเบาหวานมีหลายชนิดแต่ที่พบมากในประเทศไทยและทั่วโลกคือเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมาพร้อมกับภาวะโรคอ้วน จากผลสำรวจชี้ว่า เดิมเบาหวานชนิดนี้พบมากในประชากรวัย 60-79 ปีคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19 แต่ปัจุบันมีแนวโน้มเกิดในกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่นเพิ่มขึ้น “การใช้เทคโนโลยีสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตทำให้เราขยับร่างกายกันน้อยลง ชีวิตคนวัยทำงานและวัยรุ่นเดิมเคยใช้เวลาในวันหยุดไปเข้าสังคมพบปะผู้คนหรือเล่นสนุกกับเพื่อน ปัจจุบันหลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่ดูโทรทัศน์หรืออยู่บนโลกออนไลน์ พฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไปนิยมอาหารที่ซื้อหาได้ง่าย แม้มีรสอร่อยแต่ไขมันและน้ำตาลสูง ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานได้ในอนาคต” สิ่งที่น่าห่วงและถือเป็นภัยเงียบของโรคนี้คือ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานเกือบครึ่งไม่ทราบมาก่อนว่าตัวเองเป็นโรค โดยเฉพาะในรายที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงมาก ยิ่งแทบจะไม่แสดงอาการเลย ที่สำคัญผู้ป่วยเบาหวานหากไม่ควบคุมโรคให้ดีจะมี อายุสั้นลง อันเกิดมาจากภาวะแทรกซ้อนทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจ ตาบอด ไตวาย อัมพฤกษ์ โรคแผลเรื้อรัง เป็นต้น รศ.พญ.นันทกร ระบุว่า ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองป่วยด้วยโรคเบาหวานให้สังเกตอาการง่ายๆ คือมักดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะหากต้องตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน น้ำหนักลด ปากคอแห้ง ชาตามปลายมือปลายเท้า ไปจนถึงตาพร่ามัว การทำงานของไตไม่ปกติ หรือมีแผลแล้วรักษาไม่หาย แน่นอนว่าผู้ที่เสี่ยงกับโรคนี้อันดับแรกๆ คือ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน อ้วน หรือมีคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคเบาหวานมาก่อน ผู้มีไขมันในเลือดสูง มีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดลูกที่มีน้ำหนักมากกว่า 4 กก. ฯลฯ “สิ่งที่อยากฝากไว้คือในช่วงที่ยังคงมีการระบาดของโควิด-19 แม้สถานการณ์ในไทยดูจะสงบ แต่ก็ต้องเฝ้าระวังโดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน หากไปติดเชื้อโควิด-19 มีโอกาสจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงกว่าคนปกติ” อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจจะไม่มีอาการทรุดหนักทุกราย แต่สามารถทำให้ทุเลาหรือรักษาหายได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดน้ำหนักตัว และควบคุมอาหาร ควบคู่ไปกับการใช้ยารักษาตามที่แพทย์สั่ง