ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงแผนฟื้นฟูกิจการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า จากแนวทางที่กระทรวงคมนาคม และ ขสมก.ได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ขสมก.อยู่ในขณะนี้ ถือเป็นการพัฒนาการให้บริการของ ขสมก. โดยเฉพาะการมีรถโดยสารปรับอากาศใช้พลังงานไฟฟ้าคันใหม่มาวิ่งให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน “แผนฟื้นฟู ขสมก. นี้ เห็นภาพได้ชัดในเรื่องของการให้บริการที่จะมีรถใหม่ตัวรถที่ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมาปัญหาหลักของ ขสมก. คือ สภาพรถที่มีความเสื่อมโทรมและถือเป็นความคาดหวังของประชาชนที่จะมีของใหม่ ต้องดูปัจจัยแวดล้อมอื่นด้วย อาทิ จำนวนรถที่จะนำมาให้บริการเหมาะสมหรือเปล่า รวมถึงโครงสร้างต่างๆ ในเรื่องของการให้บริการ ทั้งพฤติกรรมของคนขับรถ กระเป๋ารถเมล์ การจอดไม่ตรงป้าย การบำรุงรักษาสภาพรถ เป็นต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในเรื่องนี้น่าจะต้องมีคนเข้ามาช่วย ขสมก. เพิ่มขึ้น” ดร.สุเมธ กล่าว ทั้งนี้ ดร.สุเมธ กล่าวต่ออีกว่า ทางขสมก.ควรพิจารณาแผนฟื้นฟูดังกล่าวให้ชัดเจน เนื่องจากการเช่ารถเมล์ไฟฟ้าปรับอากาศจากเอกชน แต่ต้องเดินรถเอง และยังใช้พนักงาน ขสมก.เป็นผู้ขับรถ เพราะฉะนั้นถ้าหากพนักงานเกษียณอายุราชการ จะต้องมีแผนรองรับต่อไป อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการจ้างเอกชนวิ่งให้บริการในเส้นทางอื่นๆ ซึ่งขสมก. ต้องพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องของต้นทุน ทั้งความเหมาะสมและการสอดคล้องกับการทำงาน มีรายได้กับรายจ่ายสัมพันธ์กัน เพื่อไม่ให้เกิดการขาดทุนในอนาคต นอกจากนี้ ในส่วนของการจัดเก็บค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย 30 บาทตลอดวัน น่าจะเป็นเรื่องที่ดี และเป็นประโยชน์ที่จะช่วยลดภาระการเดินทางให้กับประชาชน แต่ส่วนหนึ่งผู้โดยสารบางคนอาจจะใช้บริการเป็นรายเที่ยวเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้ทางขสมก. จะต้องจัดทำการศึกษาด้านการตลาด (Market Study) อย่างละเอียด และด้านเทคนิคให้มากขึ้น เพื่อสำรวจพฤติกรรมการใช้บริการของผู้โดยสาร เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนรถที่เพียงพอและปริมาณผู้โดยสาร อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นประเมินว่า ผู้โดยสารอาจจะยังไม่มาก หรือเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจาก ในปัจจุบันประชาชนมีตัวเลือกการเดินทางอื่นๆ เพิ่มขึ้น โดย ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับถึงแนวทางการฟื้นฟู ขสมก.จะเป็นไปตามแผนนั้น ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ การแก้ไขปัญหาการขาดทุนอย่างยั่งยืน นำไปสู่การไม่เป็นภาระของภาครัฐในอนาคต รวมทั้งสามารถเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่ปี 2572 เป็นต้นไป ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ดังนั้น ทางขสมก. จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดให้สอดรับกับรายได้ที่มีจากการเก็บอัตราค่าโดยสารให้เป็นไปตามที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กำหนด รวมถึงจะต้องทดสอบพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ และกำหนดแผนฯ ให้มีความละเอียดมากกว่าในปัจจุบันด้วย ซึ่ง รายงานข่าวจาก ขสมก. ระบุว่า สำหรับแผนฟื้นฟู ขสมก. ฉบับปรับปรุงนี้ มี 5 เป้าหมายการดำเนินการ ประกอบด้วย 1.เพื่อเป็นการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ด้วยการจัดเก็บค่าโดยสาร 30 บาท/คน/วัน (ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว) และจะมีการออกบัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเติมเงินปกติ 30 บาท/คน/วัน บัตรผู้สูงอายุ 15 บาท/คน/วัน (ลด 50%) บัตรรายเที่ยว 15 บาท/เที่ยว บัตรรายเดือน (นักเรียน นักศึกษา 630 บาท/เดือน 21 บาท/วัน) บุคคลทั่วไป 720 บาท/เดือน 24 บาท/วัน 2.เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด โดยแผนฟื้นฟู ขสมก. ในครั้งนี้ จะมีเส้นทางเดินรถที่ไม่ทับซ้อนกัน รวม 162 เส้นทาง แบ่งเป็น เส้นทางของ ขสมก. จำนวน 108 เส้นทาง และเส้นทางของเอกชน จำนวน 54 เส้นทาง มีการจัดหารถโดยสารจะมีการเช่ารถ EV ปรับอากาศ จำนวน 2,511 คันโดยจ่ายค่าเช่าตามกิโลเมตร โดยนำมาวิ่งให้บริการ 108 เส้นทางของ ขสมก. และจะจ้างเอกชนเดินรถ 1,500 คัน โดยจ่ายค่าเช่าตามกิโลเมตรบริการใน 54 เส้นทางของเองชน ด้าน 3.เพื่อลดมลภาวะและส่งเสริมอุตสาหกรรมไทย โดยการใช้รถ NGV และรถ EV ที่ประกอบในประเทศไทย มีสัดส่วนของมูลค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ผลิตได้ภายในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ผลิตได้ในประเทศไทยทั้งหมด และเป็นรถ UNIVERSAL DESIGN ป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 4.แก้ไขปัญหาการขาดทุนของ ขสมก. อย่างยั่งยืน โดยแผนฟื้นฟู ขสมก. ฉบับดังกล่าวนั้น มีเป้าหมายจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาฯ (EBITDA) เป็นบวกในปี 2572 (จากการดำเนินงาน) ปัจจุบัน ขณะที่สัดส่วนของรถต่อพนักงานจากเดิมรถ 1 คัน ใช้พนักงาน 4.65 คน ลดลงเป็นรถ 1 คัน ใช้พนักงาน 2.75 คน และ 5.เพื่อไม่เป็นภาระต่อภาครัฐ