ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนได้ผลักดันโครงการเพื่อการเชื่อมโยงและการพัฒนาระดับโลก "Belt and Road Initiative" หรือ BRI ซึ่งมุ่งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและมิตรภาพ สร้าง “เส้นทางสายไหม” ในศตวรรษที่ 21 ขึ้นมา โครงการดังกล่าวทำให้รัฐบาลจีนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ด้วยเครือข่ายการลงทุน โดยในภูมิภาคอาเซียนนี้ ไทยมีบทบาทสำคัญในการร่วมมือพัฒนา BRI และเมื่อเร็วๆ นี้ ฯพณฯ หลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีนเองได้เดินทางเยือนประเทศไทย เนื่องในโอกาสการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 35 ทางหอการค้าไทย-จีน ร่วมกับสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และสมาคมชาวไทยเชื้อสายจีน จึงได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติต้อนรับนายหลี่ ทั้งนี้ นายแอนโทนิโอ ฮาง ตัท ชาน รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน หรือ KWG ได้รับเชิญเข้าร่วมต้อนรับผู้นำจีน ณ หอประชุมใหญ่หอการค้าไทย-จีน กรุงเทพฯ งานเลี้ยงดังกล่าวมีขึ้นเพื่อกระชับสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจจีนโพ้นทะเลและเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงของจีน ร่วมพูดคุยหารือ เร่งสร้างเครือข่ายระหว่างกันในการทำธุรกิจในไทย นายแอนโทนิโอ เผยว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งในการร่วมต้อนรับ ฯพณฯ หลี่ เค่อเฉียง ในโอกาสเยือนไทยในปี 2562 นี้ นายแอนโทนิโอ ฮาง ตัท ชาน รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน หรือ KWG  หนึ่งในตัวแทนนักธุรกิจที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ ฯพณฯ หลี่ เค่อ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปี 2562 นี้ อย่างที่ทราบกันดี นโยบายเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 เริ่มขึ้นเมื่อปี 2556 โดยประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง เป็นเวลาใกล้เคียงกับที่ คิง ไว กรุ๊ป ได้ขยายธุรกิจไปสู่ประเทศต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย ซึ่งเริ่มจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพ และพื้นที่ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี ซึ่งจะมีแผนในการพัฒนาเป็นโครงการแบบมิกซ์-ยูส ต่อไป “ทางบริษัทฯ ได้เลือกปักหมุดเข้ามาลงทุนที่ไทยเป็นชาติแรกในอาเซียน โดยมีปัจจัยบวกในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ศักยภาพ ทำเลที่ตั้งที่อยู่ศูนย์กลาง รวมทั้งการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่สำคัญตลอด 1 ศตวรรษที่ผ่านมาไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาอย่างยาวนาน” นายแอนโทนิโอ กล่าวเสริม โครงการอสังหาริมทรัพย์ของ คิง ไว กรุ๊ป มีการพัฒนาทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงในกรุงเทพฯ โครงการแนวราบที่เปิดตัวในกลางปีนี้มีชื่อว่า "W Villa by KWG" นอกเหนือจากภาคอสังหาริมทรัพย์แล้วจุดเน้นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการเติบโตของ KWG ในประเทศไทยคือ ธุรกิจทางการเงิน ทางบริษัทก่อตั้ง King Wai Insurance ขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนนักธุรกิจจีนที่จะเข้ามาลงทุนหรือมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายใต้นโยบาย BRI ในประเทศไทย และเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ คิง ไว กรุ๊ป ยังถือครองที่ดินในจังหวัดฉะเชิงเทราเกือบ 2,000 ไร่หรือ 3.2 ล้านตารางเมตร ซึ่งอยู่ในเขตอีอีซี ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดทำแผนแม่บทเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โครงการจะมุ่งเน้นการสร้างเมืองใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ด้วยการผสมผสานศูนย์สุขภาพ สถาบันการศึกษา รวมถึงห้างสรรพสินค้าเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โครงการนี้จะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จและโอกาสทางธุรกิจที่ไร้ขีดจำกัดจากความแข็งแกร่งของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและจีน นายแอนโทนิโอ เผยต่ออีกว่า ทางกลุ่มขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทย ทั้งอสังหาริมทรัพย์และประกันภัย เพราะเห็นโอกาสจากเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยความต้องการด้านการบริโภค การค้า รวมถึงไทยกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือระหว่างไทยและจีนในหลายโครงการเองก็ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อทุกภาคส่วน คิง ไว กรุ๊ป พร้อมที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ภาคประชาชน ทางกลุ่มได้เร่งสร้างนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่จากทั้งในและต่างประเทศผ่านโครงการเปาฮีเนีย วัลเล่ย์ (Bauhinia Valley Innovation and Entrepreneurship Development Center) ในภาคการศึกษาบริษัทมีการมอบทุนการศึกษา The Hong Kong Scholarship Program for “Belt and Road” students (Thailand) แก่นักศึกษาไทยที่ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในสถาบันการศึกษาในฮ่องกง เป็นต้น “การพัฒนาประเทศและสังคมคือภารกิจที่สำคัญ ของ คิง ไว กรุ๊ป ที่เราดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศไทยที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ และไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของรัฐบาลจีนมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือของสองประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาทั้งในภาครัฐบาลและภาคธุรกิจของไทย รวมถึงในภูมิภาคอาเซียนต่อไปอย่างยั่งยืนด้วย” นายแอนโทนิโอ กล่าวโดยสรุป