วันที่ 29 ส.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ / ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด หลักเกณฑ์ ข้อตกลงและวิธีการเกี่ยวกับการชำระค่าปรับโดยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีการอื่นๆ โดยผ่านธนาคาร หรือหน่วยบริการชำระเงิน เป็นผู้แทนลงนามในบันทึกความร่วมมือบันทึกข้อตกลงการเป็นผู้ดำเนินการในการรับชำระค่าปรับ ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ โดยวิธีการทางธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาด้าน E-Payment (เพิ่มเติม) โดยลงนามร่วมกับธนาคารกรุงไทย พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าาวว่าตนในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน และ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการศึกษา/รองหัวหน้าคณะทำงานฯ และ นายธวัชชัย ชีวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส และนายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารกรุงไทย ร่วมมือพัฒนาระบบใบสั่งจราจรออนไลน์ ครบวงจร หรือระบบ PTM ให้สามารถรับชำระค่าปรับด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ หรือผ่านกรุงไทย NEXT เครื่องเอทีเอ็ม สาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ และตัวแทนรับชำระ รวมถึงช่องทางการชำระเงินอื่นๆ พร้อมรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ หัวหน้าคณะทำงานโครงการรับชำระค่าปรับจราจร กล่าวว่า “ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญการป้องกันและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุและเพิ่มมาตรการความปลอดภัยบนท้องถนน และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มีความมุ่งมั่นที่ขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญและดำเนินการมาโดยตลอด ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำบันทึกความร่วมมือกับ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 21 ก.ค.59 โดยร่วมกับธนาคารกรุงไทยพัฒนาระบบบริหารจัดการใบสั่งจราจร (Police Ticket Management) หรือPTM ซึ่งเป็นระบบจัดเก็บข้อมูลใบสั่ง ระบบการชำระเงิน ซึ่งได้ขยายช่องทางการชำระเงินและรับชำระค่าปรับฯ โดยสามารถชำระที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตนได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ลงนามความร่วมมือร่วมพัฒนาระบบ PTM ในเฟสที่ 2 ซึ่งมีระยะเวลา 5 ปี โดยจะพัฒนาระบบให้มีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 พ.ค.62 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 20 ก.ย.62 โดยธนาคารกรุงไทย เป็นผู้พัฒนาระบบ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังจากวันที่ 20 ก.ย.62 ประชาชนจะไม่ถูกเรียกเก็บใบขับขี่อีกแล้ว แต่ยังคงต้องพกพาหรือแสดงใบอนุญาตขับขี่ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และในวันที่ 1 ต.ค.62 จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมขนส่งทางบก ผ่านระบบ PTM นี้ ซึ่งระบบ PTM ในเฟสที่ 2 นี้ จะเป็นหัวใจสำคัญในการวางระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ในการบังคับใช้กฎหมายจราจรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งหมด ได้แก่ การพัฒนาระบบการออกใบสั่งแบบกล้องและแบบเล่ม การควบคุมใบสั่ง การบันทึกคะแนนความประพฤติ การขยายฐานและช่องทางการชำระเงินค่าปรับโดยตัวแทนรับชำระเงินต่างๆ ตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่กำหนด และได้จัดทำเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน สำหรับประชาชน เพื่อตรวจสอบข้อมูลใบสั่งของตนเอง รวมถึงการบันทึกคะแนน หรือข้อกฎหมายต่างๆที่จะเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อรองรับ ตามพ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับล่าสุด” นายธวัชชัย ชีวานนท์ เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมผลักดันโครงการ National e-Payment ของภาครัฐ โดยเป็นธนาคารแห่งแรกที่ได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้บริการรับชำระค่าปรับจราจรใบสั่งทุกประเภทจากทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2559 และได้ต่อยอดพัฒนาระบบ Police Ticket Management หรือ PTM หรือระบบจัดการใบสั่งออนไลน์ให้ครบวงจร โดยนำเทคโนโลยีมาเชื่อมโยงข้อมูลใบสั่งของสถานีตำรวจต่างๆ กับกรมการขนส่งทางบก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการบันทึกค่าปรับจราจรประเภทต่างๆ และช่วยอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยสามารถดูรายงานค่าปรับจราจรประเภทต่างๆ ย้อนหลัง 90 วัน มีระบบออกใบเตือนอัตโนมัติในกรณีใบสั่งยังไม่มีการชำระค่าปรับ เรียกดูข้อมูลที่จำเป็นต่อการออกใบสั่งต่างๆ ตลอดจนสามารถบันทึกแต้มผู้กระทำความผิดตามกฎหมายจราจร “สำหรับประชาชนที่ได้รับใบสั่งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากสามารถชำระค่าใบสั่งที่สาขาของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ เครื่องเอทีเอ็ม แอปพลิเคชั่นกรุงไทย NEXTแล้ว ยังสามารถชำระผ่านตัวแทนรับชำระ ของธนาคาร ได้แก่ CenPay ตู้บุญเติม และไปรษณีย์ไทย และเตรียมขยายช่องทางการชำระค่าใบสั่งผ่านเว็บไซต์ใบสั่งจราจรออนไลน์สำหรับประชาชน (e-Ticket) ด้วยบัตรเดบิตและบัตรเครดิต รวมทั้งชำระใบสั่งต่างสถานีจากเดิมที่ชำระค่าปรับกับสถานีตำรวจที่ออกใบสั่งเท่านั้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธนาคารยังมีส่วนร่วมในการรณรงค์การขับขี่อย่างปลอดภัยอีกด้วย”