ตะลุยพื้นที่ปลูก "กัญชง" หรือ "Hemp" พืชเศรษฐกิจของประเทศ ฟาร์มสุขใจและสมาพันธ์วิจัยและพัฒนากัญชาฯ เตรียมความพร้อมให้เกษตรกรปลูกกัญชงก่อนกัญชา รอกฎหมายปลดล็อคอย่างถูกต้อง
วันนี้ (9 สิงหาคม 2562) ณ แปลงปลูกกัญชงในพื้นที่ จำนวน 235 ไร่ 2 งาน เกษตรกรผู้ปลูกจำนวน 66 ราย ในเขต ต.คีรีราษฎร์ อ.พบพระ จ.ตาก นายไตรยุทธ รัตนพงษ์ ประธานสมาพันธ์วิจัยและพัฒนากัญชา จังหวัดตาก ให้การต้อนรับ พล.อ.ต.มนูธรรม เนาว์นาน ที่ปรึกษา บริษัท ฟาร์มสุขใจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (มหาชน) น.ส.นงนุช บัวใหญ่ CEO บริษัท ฟาร์มสุขใจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (มหาชน) นายดิชฐ์พิเชษ สุวรรณโพธิ์ ประธานเครือข่ายฟาร์มสุขใจ วิสาหกิจเพื่อสังคม ดร.องอาจ วิเศษ ประธานเครือข่ายวิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์แพทย์ไทย ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ประธานสมาพันธ์วิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์แพทย์ไทย พท.กฤตนัน พันธุ์อุดม กรรมการสภาแพทย์แผนไทย นายเศรษฐภัทร์ นิตยสิทธิวรากุล ประธานเครือข่ายเมืองสมุนไพรนาคราช และ นางธนภัทร พันธวาส ประธานเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจชุมชนไทย พร้อมสมาชิกตัวแทนภาคเหนือ นำพาเข้าเยี่ยมชมการปลูกกัญชง พืชเศรษฐกิจไทย ของ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์กรมหาชน)
ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ประธานสมาพันธ์วิจัยและพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์แพทย์ไทย กล่าวว่า กัญชง เป็นไม้ล้มลุกมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายกัญชา แตกต่างกัน คือ ต่อมน้ำมันของกัญชงมีน้อยกว่า จัดอยู่ในพืชซึ่งให้ประโยชน์หลักทางด้านสิ่งทอเป็นสำคัญ เดิมทีนั้นกัญชงเคยเป็นพืชล้มลุกที่ได้รับการจัดให้อยู่ในวงศ์เดียวกับพืชตระกูลตำแย (Urticaceae) แต่ว่าในตอนหลังนั้นพบว่ามันมีคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะหลายอย่างที่ต่างออกไปจากพืชตระกูลตำแยเป็นอย่างมาก
จึงได้รับการแบ่งเป็นอีกวงศ์หนึ่งโดยเฉพาะนั้นคือวงศ์ Cannabidaceae จากข่าวกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 เฉพาะกัญชง หรือเฮมพ์ (Hemp) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอเพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเชิงอุตสาหกรรม โดยระยะ 3 ปีแรกจะให้เฉพาะ“หน่วยงานรัฐ” เป็นผู้ขออนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง และให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษประเมินผล เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาความเหมาะสมที่จะอนุญาตให้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลยื่นขออนุญาต โดยสาระสำคัญของกฎหมายคือ สายพันธุ์กัญชงต้องมีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol หรือ THC) ไม่เกินร้อยละ 1.0 ต่อน้ำหนักแห้ง(1-3) นั้น หลายคนคงสงสัยว่ากัญชงกับกัญชานั้นต่างกันอย่างไร และมีประโยชน์ด้านใดบ้างที่ทำให้รัฐบาลส่งเสริมให้มีการปลูกอย่างเป็นทางการ
ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่า ต้นกัญชงก็คือกัญชา แต่ความจริงแล้วต้นกัญชงแค่มีลักษณะคล้ายคลึงกับต้นกัญชาในด้านลักษณะทางพฤกษศาสตร์ แต่ไม่ใช่พืชที่เป็นสารเสพติดเหมือนกัญชา เพราะมีสาร THC ในปริมาณน้อยกว่ามากจึงไม่มีผลทำให้เกิดมึนเมาหรือเสพติด แต่มีประโยชน์ในด้านการแพทย์และอื่น ๆ เช่น ต้นกัญชงเป็นพืชที่สามารถนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการถักทอผ้าที่มีคุณภาพดี
สำหรับ “กัญชง” มีสรรพคุณและประโยชน์ของต้นกัญชง อนาคตของกัญชง ในปัจจุบันประเทศไทยยังจำแนกกัญชงเป็นพืชเสพติดประเภท 5 เช่นเดียวกับกัญชา ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เนื่องจากสารสำคัญที่มีอยู่ในพืชกลุ่มนี้ คือ tetrahydrocannabinol (THC), Cannabinol (CBN) และ Cannabidiol (CBD) ซึ่ง THC เป็นสารเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ผู้เสพมีอาการตื่นเต้น ช่างพูด หัวเราะตลอดเวลา ส่วนสาร CBD เป็นสารต้านการออกฤทธิ์ของสาร THC ซึ่งในกัญชงนั้นจะมีปริมาณของสาร THC ต่ำมาก และมีปริมาณของสาร CDB สูงกว่าสาร THC ส่วนกัญชานั้นจะมีปริมาณของสาร THC สูง (ประมาณ 1-10%) และปริมาณของสาร THC ก็ยังมากกว่า CBD อีกด้วย จึงทำให้ในหลาย ๆ ประเทศอนุญาตให้มีการปลูกต้นกัญชงได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ต้องควบคุมไม่ให้พืชที่ปลูกมีสารเสพติด (THC) สูงกว่าปริมาณที่กำหนด อย่างในประเทศทางยุโรปจะกำหนดให้มีสาร THC ในกัญชงได้ไม่เกิน 0.2% ส่วนในประเทศแคนาดากำหนดให้มีไม่เกิน 0.3% และในประเทศออสเตรเลียกำหนดให้มีไม่เกิน 0.5-1% เป็นต้น แต่สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่มีเกณฑ์หรือมาตรการควบคุม เพราะสภาพแวดล้อมที่ปลูกนั้นมีผลต่อปริมาณของสาร THC โดยตรง และจากสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยที่ค่อนข้างร้อนจึงอาจทำให้ปริมาณของสาร THC ในกัญชงที่ปลูกนั้นมีปริมาณค่อนข้างสูง
ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้กัญชงที่ปลูกนั้นเป็นพืชที่ให้สารเสพติดไม่ต่างจากกัญชา แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ประเทศไทยอาจมีการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกต้นกัญชงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็เป็นได้ เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับอุตสาหกรรมเส้นใย อาหารและเครื่องสำอาง ที่สามารถทำรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล.









