ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “เมื่อเธอเห็นความรักในตัวผู้อื่น...เธอจะดึงความรักนั้นออกมาสู่ตัวเธอเองได้” “แง่มุมของชีวิตย่อมมีวิถีอันหลากหลายต่อการยึดโยงความหมายเพื่อการมีชีวิตอยู่ มันคืออุบัติการณ์ทางปัญญาที่หลอมรวมกันทางความคิด กระทั่งกลายเป็นญาณทัศน์เฉพาะตัวอันยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างพลังแห่งการมีชีวิตอยู่ที่มีคุณค่ายิ่งขึ้น มันอาจคืออัศจรรย์ที่เหนือคาดคิดซึ่งว่ายวนอยู่กับปรารถนาอันลึกซึ้งต่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง...สู่ความเชื่อมั่นและนับถือในเชิงจิตวิญญาณที่ตระหนักและเพ่งมองต่อชีวิตอย่างเป็นภาพรวม...จนนำพาชีวิตให้บรรลุถึงจุดหมายอันสูงสุดจากความจริงอันเป็นพลังภายในของตัวเราเอง...ในที่สุด” นัยความหมายเบื้องต้น...คือรากเหง้าแห่งหัวใจของหนังสืออันมีค่าเล่มหนึ่ง ที่จักสื่อสารให้เราทุกคนได้รับรู้ว่า คนเราทุกคนไม่จำเป็นที่จักต้องดิ้นรนและมีชีวิตผ่านการเผชิญหน้าและบีบรัดจากความเจ็บปวดไปโดยตลอด...ถ้าหากเราได้มีโอกาสขยายมุมมองที่มีต่อชีวิตให้กว้างขึ้น...และลึกลงไปสู่ส่วนขยายในทางสัมผัสรู้ด้านใน...การผสานเชื่อมต่อระหว่างตัวตนส่วนลึกและตัวตนส่วนย่อยในลักษณะนี้ คือที่มาแห่งภูมิปัญญาที่ไร้กาลเวลาอันเจิดกระจ่างทั้งความตั้งใจและแรงจูงใจ “ซาเนยา โรมาน” (Sanaya Roman)ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เคยศึกษาในศาสตร์แห่งการรู้ใจตนเองในหลายแขนง/เธอได้ระบุว่า ศิลปิน นักเขียน นักธุรกิจ นักกีฬา และนักดนตรีทั้งหลายต่างรู้ดีว่า...ผลงานชิ้นเอก ประดิษฐกรรม และแรงบันดาลใจของตน ดูเหมือนจะ “ถูกส่ง” มาจากแหล่งพลังจากมิติที่อยู่เหนือขึ้นไป การค้นพบครั้งใหญ่และความเข้าใจใหม่ ไม่ได้เกิดกับนักวิทยาศาสตร์ขณะที่นั่งขบคิดสมการบนโต๊ะทำงาน แต่มักเกิดขึ้นในขณะที่กำลังผ่อนคลาย เช่นอาบน้ำ เดินเล่นบนชายหาด หรือนั่งใจลอย “หนังสือเล่มนี้ “ถูกส่ง” มาจากขุมปัญญาที่ฉันเรียกว่า “โอริน” ขณะที่จิตสำนึกของฉันอยู่ในสภาวะสงบและเปิดกว้าง ฉันรับสารอยู่นานหลายเดือนในช่วงทำสมาธิ /สภาวะสงบและเปิดกว้างของฉันก็เป็นเช่นเดียวกับความรู้สึกขณะเชื่อมต่อกับตัวตนขั้นสูง มองตะวันตกดิน สวดภาวนา หรืออุ้มเด็กน้อย ทุกคนมีช่วงเวลาเช่นนี้ในชีวิต โดยเฉพาะที่ตอนที่เกิดภาวะวิกฤติ...แล้วจู่ๆเราก็ได้พบกับคำตอบหรือทางออกซึ่งก่อนนี้เรามองไม่เห็น ทุกคนคงเคยเกิดปัญหา ความเข้มแข็งและความกล้าหาญที่เกินกว่าสภาวะปกติทั่วไป และหลายคนเชื่อว่าสภาวะสงบและเปิดกว้างเช่นนั้นจักเกิดขึ้นได้ เพราะตัวตนขั้นสูงของตน/ บ้างก็เชื่อว่าเพราะได้รับการชี้นำทางจิตวิญญาณ” “คำสอนจากโอริน”(Living With Joy)..ถือเป็นหนังสือที่นำผู้อ่านสู่พลังอำนาจภายในและการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณเล่มสำคัญ/มันคือรากฐานแห่งปัจจัยของการเยียวยาอันเนื่องมาจากบาดแผลแห่งความเจ็บปวดของชีวิต...ไม่ว่าจะเป็นอดีตอันหมองเศร้าและเลวร้าย ปัญหาอันวิกฤตที่กำลังเผชิญหน้าอยู่/ อนาคตซึ่งไม่แน่นอนที่ทำให้จิตใจต้องหวั่นไหว รู้สึกถึงการไร้พลังและไม่มั่นใจ../.แต่กับการได้อ่านหนังสือเล่มนี้ มันจะช่วยเสริมส่งการตั้งหลักแห่งชีวิตอย่างหยั่งลึก เพื่อจะได้สร้างความเป็นชีวิตขึ้นมาใหม่ ด้วยการข้ามพ้นกายเนื้ออันเป็นทุกข์ไปสู่การก่อเกิดอำนาจทางจิตวิญญาณที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องสยบยอมเพื่อที่จะเชื่อมันแต่อย่างใด...” หลายคนกำลังอยู่ในสภาวะเปลี่ยนผ่าน และการเปลี่ยนผ่าน ย่อมก่อเกิดพลังงานมหาศาล ไม่ว่าตอนนี้เธอจะรู้สึกดีหรือแย่ แต่เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตของเธอกำลังเปลี่ยนแปลง เธอจะรู้สึกถึงชีวิตชีวา ที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณหรือพลังงาน/ในสภาวะเช่นนี้ ตัวตนที่เข้มแข็งของเธอจะปรากฏ/ตัวตนด้านนี้สามารถออกมาเฝ้าสังเกต เป็นตัวตนที่มองเห็นแสงสว่าง และอยากให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น “...ซาเนยา” ได้อธิบายนัยแห่งความคิดของเธอ..ผ่านองค์ความรู้และความคิดที่ถูกกลั่นออกมาจากจิตวิญญาณ ที่อยู่พ้นมิติของเวลาและโลกวัตถุ อันหมายถึง “โอริน” ที่ถูกเปรียบให้เป็นดั่ง...ครูทางจิตวิญญาณที่อ่อนโยนและทรงภูมิ...เปี่ยมไปด้วยความรัก ปัญญา และเมตตาธรรม/ “โอริน” ไม่เคยบอกกับใครๆว่าต้องการอะไร ต้องทำอะไร หรือต้องใช้ชีวิตอย่างไร/ เมื่อถูกร้องขอจากใครสักคน ก็จะให้คำชี้แนะและแนวคิดเพื่อช่วยให้คนคนนั้นได้เห็นทางเลือกมากขึ้น “โอริน” เหมือนจะบอกกับเราเสมอว่า...จักรวาลนั้นเป็นมิตร ทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเราอย่างถึงที่สุด แม้เราอาจจะไม่เข้าใจเหตุผลได้เสมอไป และเราเลือกได้ว่า จะเติบโตผ่านความเบิกบาน แทนที่จะผ่านการดิ้นรน../นั่นเท่ากับว่าเราต่างได้รู้จุดมุ่งหมายของชีวิต..ว่าเราเกิดมาบนโลกนี้เพื่ออะไร... “มีบางคนกล่าวว่า..จุดมุ่งหมายแห่งชีวิตของตนนั้นคือ..การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น และถ้าเธอไม่ละเลยตนเองและให้ความสำคัญกับการทำชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น/ นี่จะเป็นจุดหมายชีวิตที่ดีมากและเป็นจุดหมายที่แท้จริง” ....ยิ่งไปกว่านั้น...การดูแลเอาใจใส่ตนเอง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดความสงบสุข ความงดงาม และความกลมกลืนจะทำให้ตัวเราเกื้อกูลผู้อื่นได้มากขึ้น หากไม่ใช่ทำให้คนอื่นมีความสุขจนละเลยตนเอง/เหตุนี้ ถ้าทุกคนทำสิ่งต่างๆจากความรู้สึกที่งดงามและกลมกลืน จากตัวตนขั้นสูง เราก็จะมีสังคมที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง...แน่นอนว่าก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต...เราย่อมต้องรู้สึกสับสน สูญเสีย เจ็บปวด หรือรู้สึกว่าทุกอย่างได้พังทลายลง นั่นเป็นเพราะคนในสังคมของเราไม่ค่อยได้ฝึกถึงการปล่อยวางในรูปแบบเดิมซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการ ดั่งนี้กระแสความคิดเรื่องการปล่อยวางจึงยากขึ้นไปอีก เนื่องจากต่างคิดว่าไม่มีอะไรที่ดีกว่ามาทดแทนสิ่งที่กำลังสูญเสีย/ ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ต้องการ และถ้าเราตระหนักว่าสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่เราสร้างไว้แต่อดีต ซึ่งแท้จริงเราสามารถ เปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย/เราก็จะวาดฝันอนาคตให้เป็นอย่างไรก็ได้.... “จงนึกจินตนาการถึงสิ่งที่เธอต้องการจะสร้างขึ้น แล้วเธอจะได้สร้างสิ่งนั้น” อย่างไรก็ดี “ซาเนยา”...ได้อธิบายถึงความเป็นเนื้อแท้ของชีวิตเพื่อให้เราได้เรียนรู้แลอะตระหนักถึงคุณค่าของมันอย่างน่าใส่ใจและชวนรับฟังว่า... “จงเคารพตนเองในฐานะปัจเจกบุคคลที่มีความเฉพาะตัว /เมื่อเธออยู่กับผู้อื่นจงอย่าเปรียบเทียบเส้นทางชีวิตของเธอกับเขา/เธอมักเปรียบเทียบสิ่งที่ผู้อื่นกำลังทำกับสิ่งที่เธอกำลังทำ แล้วก็รู้สึกดีกว่าหรือแย่กว่าพวกเขา/ แทนที่จะทำเช่นนั้น จงหลับตาแล้วถามตนเองว่าเส้นทางที่ดีงามของเธอคืออะไร แล้วเปรียบเทียบชีวิตของเธอกับเส้นทางนั้น ...เธออาจเคยอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นในหนังสือพิมพ์และคิดว่า” สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นกับฉันก็ได้”แต่เธอไม่ได้คิดแบบเดียวกับเขา เธอไม่ใช่พวกเขา/เรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น เกิดขึ้นก็เพราะนั่นคือพวกเขา ถ้าเธอได้ยินเรื่องราวของผู้อื่นก็ไม่ต้องเก็บมาคิดให้เป็นภาระ แต่จงถามตนเองว่า “ฉันจะซื่อสัตย์กับเนื้อแท้ของฉันได้อย่างไร” /เนื้อแท้ของฉันคืออะไร “/เราทุกคนต่างมีเส้นทางของตนเอง ซึ่งเป็นการแสดงความเฉพาะตัวจากพลังชีวิตของแต่ละคน/” จุดมุ่งหมายของชีวิตคือเส้นทางใดก็ตามที่เธอตัดสินใจเลือก...เพราะทุกคนล้วนมีเจตจำนงอิสระ/ในข้อสรุปแห่งความสุขสำเร็จผ่านโครงสร้างแห่งหัวใจของหนังสือเล่มนี้ “ซาเนยา” ได้ระบุเอาไว้อย่างน่าใคร่ครวญว่า/หัวใจสำคัญในการบรรลุจุดหมายขั้นสูงคือความเชื่อมั่นศรัทธาในตนเองและการมีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อวิสัยทัศน์ของเราทุกคน/มีเหตุผลมากมายที่สามารถหยุดยั้งความเชื่อมั่นศรัทธาที่มีต่อจักรวาลและตนเอง แต่ก็ยังมีเหตุผลอีกมากมายเช่นกันที่ทำให้เรายังเชื่อมั่นศรัทธาต่อไปได้ /จริงๆแล้วเรามักถูกทดสอบโดยจักรวาลเพื่อดูว่าเธอมีศรัทธาต่อวิสัยทัศน์ของเธอเพียงใด/ “ทุกๆเป้าหมายบรรลุได้ ถ้าเธอยังเดินหน้าต่อไป” ท้ายที่สุด “คำสอนของโอริน” ก็ได้ให้ความเป็นสุนทรียะต่อการมีชีวิตอยู่อย่างงดงามและเป็นสุขของเราทุกคนด้วยแบบแผนของการรับรู้และเรียนรู้อันสำคัญที่เชื่อมโยงถึงความรักอันพิสุทธิ์ที่แฝงฝังอยู่ในหัวใจของเราทุกคน/ก่อนที่จะเผยแพร่มันออกมาสู่โลกแห่งการดำรงอยู่และใช้มันให้เป็นความหมายที่ตื่นตระการของชีวิต/ “เธอจินตนาการออกไหมว่า เธอจะรู้สึกอย่างไรถ้าหัวใจของเธอเปิดกว้าง เธอจะรู้สึกอย่างไรถ้าทุกที่ที่เธอไป/เธอวางใจผ่อนคลายและรู้ว่าจักรวาลเป็นมิตร ชีวิตจะราบรื่นเพียงใดถ้าเธอเชื่อว่าผู้นำทางในตัวเธอนั้นอ่อนโยนและมีเมตตา เชื่อว่าผู้คนจะส่งความรักให้เธอทุกแห่งหน และเชื่อว่าเธอจะแผ่รังสีความรักจากตัวเธอแก่ทุกคน /ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไรถ้าเวลาที่มีใครพูดกับเธอ เธอสัมผัสได้ว่าภายใต้คำพูดนั้นมีความรักหรือความต้องการความรักอยู่ เธอจะมองผู้คนอย่างลึกซึ้งอยู่เสมอเพื่อตระหนักและเห็นความรักภายในตัวทุกคนเหมือนที่ฉันทำ /เมื่อเธอเห็นความรักในตัวผู้อื่น เธอจะดึงความรักนั้นออกมาสู่ตัวเธอเองได้” นี่คือหนังสือแห่งผัสสะของชีวิต เป็นนิมิตของการเปิดกว้างทางจิตวิญญาณที่ก่อเกิดจากพลังแห่งการหยั่งเห็นที่อ่อนโยนภายในตัวตนเฉพาะของบุคคลสู่เวิ้งรู้ของความเป็นโลกกว้าง/ประสบการณ์ในเชิงความรู้สึกด้านในคือความหมายสำคัญที่ถูกแปลความและแปรค่าออกมาเป็นคุณประโยชน์ของชีวิต ด้วยจุดหมายสำคัญต่อการเกิดมาบนโลกนี้...โลกที่ไร้ขีดจำกัด/โลกที่เราทุกคนสามามารถก้าวไปได้ไกลเกินกว่าทุกสิ่งที่เรารู้จัก/และการที่เราอาจไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการนั้นเป็นเพียงแค่ภาพมายา/เหตุนี้...เมื่อบังเกิดความเข้าใจในหัวใจแห่งหนังสือเล่มนี้แล้ว...ก็ขอให้เราทุกคนจงนึกคิดและจินตนาการถึงสิ่งที่เราต้องการแล้วเราจะได้รับในสิ่งนั้น/ดั่งนี้แล้ว ก็ย่อมแน่นอนว่า...จุดมุ่งหมายของชีวิต คือเส้นทางใดก็ตามที่เราตัดสินใจเลือก เพราะทุกคนนั้นต่างมีเจตจำนงอิสระ.. “ปรารภ สินมา ผู้แปล/และ ภัทริณี เจริญจินดาผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้/ได้ทำงานของเธอทั้งสองด้วยความละเอียดอ่อนและลุ่มลึก/มันมีความรู้สึกร่วมด้านมโนสำนึกที่เบิกบานและเป็นตัวอย่างแห่งการสอนสั่งต่อข้อประจักษ์อันแยบยลของชีวิตที่มิอาจข้ามผ่านไปได้เลย...แม้เมื่อใด “หยุดพักสักครู่หนึ่ง จากนั้นให้ถามตนเองว่า วันพรุ่งนี้เธอจะทำอะไรเพื่อให้ชีวิตเบิกบานมากขึ้น/เธอจะทำอะไรเพื่อปล่อยวางการแย่งชิงพลังหรือปัญหาชีวิตที่กำลังดึงพลังจากเธออยู่ตอนนี้/เธอจะทำอะไรเพื่อมีเวลาว่างเพิ่มขึ้นสักนิดเพื่อค้นพบ....ความสงบ”