ส.อ.ท.- สภาหอฯเข้าหารือแบงก์ชาติ 8 ส.ค.นี้หามาตรการดูแลค่าเงินบาทกระทบส่งออกหนัก รับแม้ กนง.จะลดดอกเบี้ย แต่ยังควรมีมาตรการเพิ่มเติมหลังสงครามการค้าปั่นป่วนจนกลายเป็นสงครามค่าเงิน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ว่า ส.อ.ท.มีกำหนดเข้าพบนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ในวันที่ 8 ส.ค.นี้เพื่อหารือถึงมาตรการเพิ่มเติมเพื่อดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของไทยภายใต้แรงกดดันจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เริ่มยกระดับสู่สงครามค่าเงิน “รู้สึกเซอร์ไพรส์ที่คณะกรรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาในการประชุมวันนี้(7ส.ค.) มองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ธปท.คงต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้บาทแข็งค่าเกินภูมิภาคด้วย รวมถึงแนวทางผลักดันการใช้เงินสกุลท้องถิ่นค้าขายกันเองในภูมิภาค เพื่อลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน” นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนและสหรัฐฯยังคลุมเครือ สภาหอการค้าฯ มีกำหนดการเข้าพบกับ ผู้ว่าการธปท.ในช่วงบ่ายของวันที่ 8 ส.ค.นี้ และในนามคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ(กรอ.)ชุดเล็ก มีกำหนดการเข้าพบนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ วันที่ 14 ส.ค.นี้ เพื่อหาแนวทางกระตุ้นการส่งออกและการค้าชายแดนด้วย นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทยทำหน้าที่ประธานที่ประชุมกกร. กล่าวว่า กกร.ยังคงประมาณการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ทั้งปีคาดโตอยู่ที่ 2.9-3.3% จากปีก่อนโต 4.1% การส่งออกคาดติดลบ 1% หรือขยายตัวได้เพียง 1% จากปีก่อนโต 6.9% เงินเฟ้อคาดโต 0.8-1-2% ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังต้องเผชิญความท้าทายจากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐที่มีความเสี่ยงจะรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทที่สร้างแรงกดดันต่อทิศทางเศรษฐกิจให้มีแนวโน้มชะลอตัวลง ทั้งนี้นอกจากผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯที่เตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ต่อสินค้าจีนวงเงิน 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯในวันที่ 1 ก.ย.นี้ และจีนได้ปรับค่าเงินหยวนอ่อนค่าหลุดระดับ 7 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบ 11 ปีจะมีความเสี่ยงรุนแรงมากขึ้น ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแกว่งตัวผันผวนและอาจแข็งค่าขึ้นอีก จากที่ผ่านมาตั้งต้นปีเงินบาทของไทยแข็งค่าแล้ว 5.9% และแข็งค่าที่สุดเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาคเดียวกัน เป็นแรงกดดันที่ไม่เอ้อต่อการฟื้นตัวของการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้