“การให้อภัย สามารถนำไปสู่ความปรองดองได้ และที่สำคัญต้องเห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่ลูกหลานที่จะอยู่ต่อไปในอนาคตมากกว่าเห็นแก่ใจตัวเอง”
หมายเหตุ : “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์พิเศษ “สยามรัฐ” เพื่อสะท้อนถึงปัญหา ที่มา ตลอดจนข้อเสนอแนะ เพื่อร่วมกันหาทางออกไปสู่การสร้างความปรองดอง มีใจความที่สำคัญดังนี้
-คิดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้สังคมต้องกลับมาพูดถึงเรื่องการสร้างความปรองดองอีกครั้ง
ตามหลักการประเทศที่สมบูรณ์นั้นต้องมีองค์ประกอบสำคัญได้แก่ 1. รัฐบาล 2. อำนาจอธิปไตย 3. ดินแดนและ 4. ประชาชน ซึ่งนิยามของคำว่าประชาชนต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน มีความรักและความสามัคคี
แต่ในขณะนี้ประเทศไทยยังคงมีความขัดแย้งอยู่ ดังนั้นความเป็นชาติ จึงไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องมาสังคายนาให้ประชาชน มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ประเทศจึงจะเดินไปข้างหน้าได้ และผู้ที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้คือ รัฐบาล
- คิดว่าเงื่อนไข หรือปัจจัยอะไรบ้าง ที่จะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้น
คงต้องค้นหาก่อนว่ารากเหง้าของความขัดแย้งในสังคมไทยนั้นคืออะไร ส่วนตัวผมมองว่ารากเหง้าของปัญหามาจาก 3 ปัจจัยคือ 1. ความคิดต่างของสังคมไทยในระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ซึ่งนำมาสู่การไม่ยอมกันและเกิดความขัดแย้ง เห็นได้จากสมัยสงครามเย็น จนมาถึงยุค 14 ต.ค. 2516 สมัยพฤษภาทมิฬ มาจนถึงปัจจุบัน
2.ความขัดแย้งของขั้วการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และ 3. ความขัดแย้งอันเกิดจากลักษณะนิสัยของคนไทยเอง ที่ผ่านมาเคยมีบทวิจัยจากต่างประเทศวิเคราะห์นิสัยของคนไทย อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้บทวิเคราะห์ของประเทศญี่ปุ่น ชี้ว่าคนไทยมีปัญหา เห็นใครดีกว่าก็อิจฉา ชอบอาฆาตมาดร้าย มีความเคียดแค้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่ความแตกแยก และขัดแย้งขึ้น
จากรากเหง้าของปัญหาทั้ง 3 ปัจจัยนั้น ควรจะต้องได้รับการแก้ไข อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ 1 คือเรื่องความขัดแย้งที่ผ่านมา ยังไม่สำคัญเท่ากับปัจจัยที่ 2 คือความขัดแย้งของขั้วการเมืองซึ่งเป็นต้นเหตุของความรุนแรง ที่ผ่านมา ในอดีตเราไม่ยอมกัน ต้องการจะเอาชนะ ตามลักษณะนิสัยของคนไทยเอง และเมื่อมีฝ่ายหนึ่งชนะ ฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็จะไม่ยอม
- คิดว่าความปรองดองจะสามารถเกิดขึ้นในรัฐบาล -คสช.ได้หรือไม่
การที่ คสช.มีอำนาจมากในวันนี้ ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างความปรองดอง ถ้าหาก คสช.ตั้งใจจะทำ ก็คงไม่มีใครทำได้ดี เท่ากับ คสช.อีกแล้ว แต่ขณะเดียวกันคสช.เองก็ต้องเข้าใจว่าปัญหา ณ วันนี้มาจากความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้น คสช.จะต้องมองให้ออก
ตอนนี้ผมคิดว่าถ้า คสช. มุ่งมั่นมีความตั้งใจที่จะสร้างความปรองดอง เขาก็ทำสำเร็จไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ คสช.ต้องไปดูที่รากเหง้าของความขัดแย้งว่ามาจากไหน และจะแก้ไขอย่างไร โดยเฉพาะความขัดแย้งทางการเมือง
- มีเสียงเรียกร้องให้กองทัพทำเอ็มโอยู เพื่อให้หลักประกันว่าจะไม่ทำรัฐประหารอีก แต่กองทัพก็ปฏิเสธ
ผมคิดว่าเรื่องการทำเอ็มโอยูนั้นมีความเป็นนามธรรมมาก เพราะหากกองทัพลงนามในวันนี้ ว่าจะไม่ทำรัฐประหาร แต่ในวันข้างหน้า ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด เป็นคนละคน คนละเวลาและคนละสถานการณ์กัน ดังนั้นถึงกองทัพจะลงนามทำเอ็มโอยู วันนี้ แต่ในวันหน้ากองทัพก็ทำรัฐประหารได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงนั้นอยู่ที่นักการเมือง ต้องเป็นผู้ที่มีอุดมคติ และทำทุกสิ่งเพื่อประเทศชาติ ถ้านักการเมืองทำได้เช่นนี้ การทุจริตก็จะไม่เกิดขึ้น ประชาชนก็จะรักนักการเมือง และ เมื่อประชาชนรักนักการเมือง ทหารก็จะทำรัฐประหารไม่ได้ เพราะทหารกลัวประชาชน
- กรณีที่ให้นักการเมืองมาเซ็นเอ็มโอยูจะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้หรือไม่
ความขัดแย้งเป็นเรื่องนามธรรม ทุกอย่างจะแก้ไขได้หรือไม่ได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของนักการเมือง ซึ่งนักการเมืองต้องยอมรับสภาพตามหลักรัฐศาสตร์ ว่าเสียงข้างมากคือผู้ชนะ การใช้วาทกรรมที่ว่า'ข้างมากลากไป'นั้นไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันฝ่ายที่เป็นรัฐบาลนั้น ต้องรับฟังทั้งเสียงข้างมาก และเคารพเสียงข้างน้อย ตามหลักรัฐศาสตร์ที่ว่าด้วยผู้บริหารประเทศ
-มีบางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าความขัดแย้งเกิดจากการที่ฝ่ายการเมืองไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม
วันนี้เรื่องที่หลายคนรวมทั้งผมเอง ต้องทำการค้นหา คือเรื่องของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ซึ่งพบว่าการตัดสินนั้นมีทั้งถูกและผิด อยู่ที่การใช้ดุลยพินิจของคณะผู้ตัดสิน ซึ่งต้องพิจารณาว่าคณะผู้ตัดสินคณะหนึ่งนั้นมีความยุติธรรมเพียงพอหรือไม่ ถ้าเขามีความยุติธรรม มีความเป็นกลาง ในการพิจารณาคดีตามหลักวิชาการ ทุกอย่างจะสามารถเดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่น
ผมเคยไปพบปะกับเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ได้รับเสียงสะท้อนว่าประเทศไทยยังไม่ปรากฎความยุติธรรมที่ชัดเจนเท่าที่ควร ซึ่งผมเองได้แก้ต่างแทนคนไทยว่า ผู้แพ้จะมองว่ากระบวนการตัดสินไม่ยุติธรรม แต่ผู้ชนะจะมองว่าเป็นธรรม ดังนั้นต้องถามว่ามีความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ ตรงนี้ก็ยังตอบไม่ได้
ทั้งนี้ขอย้ำว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นต้องมีความยุติธรรมอย่างแท้จริง เพราะไม่เช่นนั้นจะนำมาซึ่งความแตกแยกในสังคมได้ ดังนั้นจึงต้องมาคิดกันว่าจะปฏิรูปเรื่องกระบวนการยุติธรรมอย่างไร ถึงจะสร้างความเชื่อมั่นได้
-หากเปรียบความขัดแย้งเสมือนการเจ็บป่วย ประเมินว่าประเทศไทยป่วยหนักหรือไม่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ผมคิดว่าปัญหาความความขัดแย้งของหลายประเทศ มีทั้งหนักกว่าและเบากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย แต่ในที่สุดทุกอย่างสามารถจบลงได้ด้วยการลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและให้อภัยกัน อย่างกรณีของอดีตประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา ของแอฟริกาใต้ ซึ่ง ติดคุกนานกว่า 20 ปี ถูกรังแกมากมาย แต่เมื่อเนลสัน ออกจากคุกมา ท่านก็บอกให้ลืมเสีย แล้วมาร่วมกันช่วยชาติบ้านเมือง ปัญหาก็จบ จึงทำให้ประเทศแอฟริกาใต้อยู่ได้ด้วยความสงบสุข
เช่นเดียวกับกรณีผู้ก่อการร้ายไออาร์เอของสหราชอาณาจักร เขาแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการเดียวกันกับประเทศไทย คือ ในสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เคยนำนโยบาย 66/23 มาใช้แก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์ เพื่อให้ทุกฝ่ายลืมอดีตและหันกลับมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองของเรา
จึงสรุปได้ว่าจากเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น การให้อภัยสามารถนำไปสู่ความปรองดองได้ และที่สำคัญต้องเห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่ลูกหลานที่จะอยู่ต่อไปในอนาคตมากกว่าเห็นแก่ใจตัวเอง
- มีความเห็นจากบางฝ่าย มองว่าการยึดนโยบาย66/23 มาใช้กับการสร้างความปรองดอง อาจไม่เหมาะสมกับสภาพปัญหา และบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป
ผมมองว่าทุกอย่างเป็นบทเรียน ที่เราต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม แต่จะไปหยิบมาใช้ทั้งหมดคงไม่ได้ เมื่อครั้งที่ผมเป็นประธานกรรมาธิการปรองดอง ฯในรัฐสภา ก็ได้ศึกษาปัญหาความขัดแย้งของประเทศต่างๆ พร้อมทั้งนำมาพิจารณา ว่าเรื่องใดพอที่จะปรับใช้กับประเทศไทยได้บ้าง ผมคิดว่าในส่วนของคำสั่งที่ 66/23นั้นมีทั้งส่วนดีและไม่ดี ดังนั้นเราควรหยิบเอาส่วนที่ดีมาใช้ แต่อย่าไปเอามาใช้ทั้งหมด
- การสร้างความปรองดอง ควรเกิดก่อนหรือหลังเลือกตั้ง
ถ้าเลือกตั้งเสร็จไปแล้ว ไม่มีทางจะปรองดองกันได้ แต่ในเมื่อวันนี้เรามี คนกลาง ที่จะทำหน้าที่สร้างความปรองดอง คือ คสช. ดังนั้นควรจะทำให้เสร็จในสมัยนี้ ส่วนจะทำได้อย่างไรนั้น คงต้องไปหาวิธีการกันพอสมควร
- การเจรจาเพื่อตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” จะนำไปสู่ความปรองดองได้หรือไม่
ปัญหามาจากความขัดแย้งทางการเมือง ถ้าการเมืองตกลงคุยกันได้ทุกอย่างก็จะหายไปเกือบหมด ทั้งความขัดแย้งระหว่างประชาชนในประเทศ การนำการเมืองในสภาไปเล่นกันข้างนอก รวมถึงการที่ประชาชนนำประเด็นซึ่งถกเถียงกันในสภา มาทะเลาะกันเองบ้าง ดังนั้นหากคนเหล่านี้กลับมาพูดคุยกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผมเชื่อว่าประชาชนก็พร้อมที่จะทำตามอยู่แล้ว
ผมเชื่อว่ารัฐบาลแห่งชาตินั้นสามารถทำได้ ถ้านักการเมืองคิดที่จะทำ ประชาชนก็คงจะเห็นตาม แต่ปัญหาคือการที่นักการเมืองแต่ละฝ่าย จะต้องมีใจมาพูดคุยด้วยกันเสียก่อน
เรื่อง :กิตติกร แสงทอง