จะว่าเงียบสงัด เหงาจนวังเวง ก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ฟากฝั่ง “พรรคเพื่อไทย” จากที่เคยเป็น “ดาวจรัสแสง” มาวันนี้ กลับดำรงอยู่อย่างยากลำบาก โดยเฉพาะจากนี้ไปเมื่อ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เริ่มเข็น “เรือเหล็ก” ในรหัส “ประยุทธ์ 2/1” ล่องนาวา ทำหน้าที่บริหารประเทศ เป็นสมัยที่ 2 ที่ว่า ยาก ลำบาก นั้นย่อมไม่ได้เป็นเพราะเพียงแค่ว่า พรรคเพื่อไทยวันนี้ ตกอยู่ในสถานะ “พรรคฝ่ายค้าน” เท่านั้น หากแต่พรรคเพื่อไทย ยังไม่ใช่พรรคที่อยู่กลางแสงสปอร์ตไลท์ส่องลงไปเช่นเคย เพราะวันนี้ “พรรคอนาคตใหม่” พรรคการเมืองหน้าใหม่ ที่แจ้งเกิดในสนามเลือกตั้ง พาส.ส.หน้าใหม่ เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ยังกวาดกระแส โกย “คะแนนนิยม” นำลิ่วแซงหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านชนิดไม่เห็นฝุ่น ! หากย้อนกลับก่อนหน้านี้ หลายคนคงจำได้ว่า เคยมีการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยกันเอาไว้ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อ24 มี.ค.2562 ว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งไม่ว่าจะแปรเปลี่ยนสถานะไปสู่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม อยู่ยืดเยื้อยาวนานมากแค่ไหน จะยิ่งส่งผลให้พรรคเพื่อไทยและ “ขั้วอำนาจ” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ในฐานะเจ้าของพรรคตัวจริง ยิ่งถูกลดทอนพลังลงไปมากเท่านั้น วันนี้พรรคเพื่อไทยมีการเปลี่ยนโครงสร้างพรรคใหม่ แต่กลับยังไร้ความโดดเด่น ดึงดูดให้ฝ่ายตรงข้ามหรือแม้แต่ฝ่ายเดียวกันต้องจับตามองได้แต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังยิ่งเป็นการสะท้อนอาการ “ถดถอย” ภายในพรรคเพื่อไทยเองว่าวันนี้อยู่ในสภาพ สู้แค่ให้ได้มีที่ยืนเท่านั้น เมื่อ ขั้วอำนาจของเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ส่ง “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ลงมานั่ง “หัวหน้าพรรค” หวังให้ทำหน้าที่ “ผู้นำฝ่ายค้าน” เป็นหัวหอกในสภาฯ และวาง คนของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” แกนนำพรรคอย่าง “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” นั่งเลขาธิการพรรค ก็กลับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ก่อให้เกิดกระแสหรือเปลี่ยนแผนการเล่นรูปแบบใหม่ ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นเพียงการวางตัวผู้เล่นในลักษณะ “สงครามตัวแทน” ระหว่างขั้วเยาวภา กับกลุ่มของคุณหญิงสุดารัตน์ ในวันที่พรรคเพื่อไทยอ่อนล้า โรยแรงเต็มที รวมทั้งยังเป็นแผนปิดทางไม่ให้คุณหญิงสุดารัตน์ และกลุ่มทิ้งเพื่อไทยแล้วออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ สืบเนื่องมาจากปัญหาภายในเพื่อไทยเอง เมื่อเหลียวมองไปยังการเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่เอง แม้วันนี้ชื่อของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคกำลังติดลมบนกลายเป็น “ดาวสภา” ดวงใหม่ จากผลงานการอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา กลายเป็นภาพตัดสลับกับพรรคเพื่อไทย ที่ยังคงเล่นการเมืองในรูปแบบเก่า ตอบโต้กันไปมาในสภาฯ นอกจากนี้ ล่าสุด “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ยังใช้ “พลังดูด” ออกแรงดึง “พรศักดิ์ เจริญประเสริฐ” อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าไปสังกัดในพรรคพลังประชารัฐ เย้ยเยาะไปถึง คนที่ต่างประเทศ และตอกย้ำว่า สถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทยนั้นเปราะบางมากน้อยแค่ไหน “ก่อนที่ผมจะมา ผมก็ได้พูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพรรคเพื่อไทย เพราะที่ผ่านมาผมให้ความเคารพนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับความเมตตามาตั้งแต่สมัยอยู่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย เมื่อได้พูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์แล้วก็คงจะไปถึงท่าน ที่กลัวที่สุดคือการมาพรรคพลังประชารัฐในครั้งนี้จะถูกมองว่าเพราะมีคดีหรือมาต่อรองใดๆหรือมีค่าตัว เพราะถ้ามาก็ต้องมานานแล้ว แต่ก็ทำงานให้พรรคเพื่อไทยอยู่ เมื่อเห็นว่าการเมืองจบแล้วจึงตัดสินใจมาช่วยงานไม่ถึง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา” พรศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อ เมื่อวันที่เดินทางมาเปิดตัว ยังที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ โดยมีสุชาติ ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งยืนยันว่าเป็นการมาด้วยความเต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับหรือมีคดีความเป็นเครื่องต่อรองกดดันตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด แน่นอนว่าการย้ายค่ายของพรศักดิ์ เพื่อมาสวมเสื้อพลังประชารัฐ รอบนี้ ด้านหนึ่งคือการประกาศ “ผลงาฯ” ของ เสี่ยเฮ้ง สุชาติ มือประสานคนใหม่ของพลังประชารัฐ ที่ต้องการสร้างฐานเสียงในพื้นที่อีสานตอนใต้ และขณะเดียวกันยังเป็นสะท้อนให้เห็นว่าจากนี้ไป จะมีคนเพื่อไทย ย้ายพรรค จากฝ่ายค้าน พลิกมาอยู่ขั้วรัฐบาล ยิ่งเมื่อยามนี้ มนต์ของทักษิณ แทบไม่ขลังเหมือนเดิม วันเกิดที่ผ่านมาเมื่อ 26 ก.ค. เสียงคำรามของทักษิณ ที่ส่งตรงมาจากดูไบ หวังกระแทกเข้าใส่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่กลับกลายเป็นแค่ลมพัดผ่าน ทั้งที่หากเป็นก่อนหน้านี้ ทุกปฏิกริยาจากทักษิณ ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือน ต่อ “บิ๊กทหาร” ปลุกเร้าแฟนคลับในประเทศไทย จนเกิดเป็น “โลกล้อมไทย” เพราะทำให้นานาประเทศ หันกลับมาเพ่งมอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตาลปัตร กลายเป็นแรงที่ไร้พลัง อย่างที่เห็น ! สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย จากนี้ไปอาจต้องเผชิญหน้าทั้ง “ศึกใน” ภายในพรรคเพื่อไทยด้วยกันเองสำหรับขั้วอำนาจที่ยังเหลืออยู่ ขณะเดียวกัน ยังต้องรับมือกับ “ศึกนอก” จากการบุกของพรรคพลังประชารัฐ ไปจนถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่จะเร่งเดินหน้าสร้างผลงาน ไปพร้อมๆกับการเปิดเกม “ยึดสนามเล็ก” ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้น ที่อยู่ ที่ยืน สำหรับเพื่อไทย ในวันที่ไร้ “ขุนพล” ตัวจริง เสียงจริง ดูน่าหนักใจอย่างที่เห็น !