“อดิศร” ห่วงเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จัดทีมผู้บริหาร ลุยพื้นที่อีสานเช็คสถานการณ์ภัยแล้งแม่น้ำโขง จากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบ เนื่องจากฝนทิ้งช่วง ทำให้ปริมาณน้ำลดลง ไม่เพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และบางพื้นที่เริ่มพบความเสียหายแล้ว นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง จึงได้สั่งการให้ที่ปรึกษากรมประมง ผู้ตรวจกรมประมง และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย เพื่อรับฟังปัญหาและผลกระทบของกลุ่มชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังลุ่มน้ำโขง กรณีสถานการณ์จากการลดระดับของระดับน้ำในแม่น้ำโขง พร้อมร่วมประชุมกับแกนนำเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน ในระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคม 2562 นี้ นายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษากรมประมง เปิดเผยว่า จังหวัดหนองคาย เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปลานิลในกระชัง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอท่าบ่อ และอำเภอศรีเชียงใหม่ โดยเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมงจำนวน 282 ราย รวมกว่า 4,160 กระชัง มีผลผลิตกว่า 18,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี และยังมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีอีกด้วย จากสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักเกิดมาจากปริมาณน้ำฝนที่ลดลงมากจากปีที่ผ่านมา และเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลง 3 – 4 เมตรจากปกติ ซึ่งระดับน้ำในปีนี้ต่างจากปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ 3.26 เมตร (ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำภาคที่ 3 จังหวัดหนองคาย) โดยในช่วงวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา มีอากาศร้อนจัด ทำให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลานิลในกระชังจำนวน 80-100 ราย ได้รับผลกระทบ เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ปลาขาดออกซิเจนและตาย มีผลผลิตเสียหายกว่า 100 ตัน รวมมูลค่าประมาณ 6 ล้านบาท กรมประมงจึงได้แนะนำให้เกษตรกรนำปลานิลที่ได้รับความเสียหายที่ลอยหัวใกล้ตายหรืออ่อนแอไปแปรรูปทำปลาร้าส่งขายให้พ่อค้าในจังหวัดใกล้เคียงกิโลกรัมละ 25 บาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากที่ปกติปลานิลขนาด 1-1.2 กิโลกรัมต่อตัว จะมีราคากิโลกรัมละ 60 บาท ส่วนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อดินภายในจังหวัดหนองคาย เช่น การเลี้ยงปลาหมอ ปลาดุก ปลานวลจันทร์ ขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำโขงล่าสุดจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น แต่เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น กรมประมงจึงได้มีคำแนะนำให้เกษตรกรที่ทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชังเฝ้าระวังพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้ง โดยปฏิบัติดังนี้ 1.ควรเลือกแหล่งน้ำที่ตั้งกระชังที่มีระดับน้ำลึกเพียงพอ จัดวางกระชังให้เหมาะสม ไม่หนาแน่นจนเกินไป 2.ควรปล่อยสัตว์น้ำลงเลี้ยงในปริมาณหนาแน่นน้อยกว่าปกติ และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่เพื่อลดระยะเวลาการเลี้ยงให้น้อยลง 3.เลือกใช้อาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพ และลดปริมาณให้อาหารสัตว์น้ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นอาหารสด เพื่อป้องกันปัญหาน้ำเน่าเสีย 4.เพิ่มความสนใจหมั่นตรวจสุขภาพสัตว์น้ำ และสังเกตอาการต่างๆ อย่างส่ำเสมอ เพื่อจะได้แก้ไขหรือรักษาได้ทันท่วงทีกรณีเกิดอาการผิดปกติ 5.ควรทำความสะอาดกระชังอยู่เสมอ เพื่อกำจัดตะกอนและเศษอาหาร ซึ่งเป็นการตัดวงจรชีวิตปรสิตและเชื้อโรค นอกจากนี้ ยังช่วยให้กระแสน้ำไหลผ่านกระชังได้ดี ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพสัตว์น้ำ 6.จับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นมาจำหน่ายหรือบริโภค เพื่อลดปริมาณสัตว์น้ำภายในกระชัง 7.เพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่ปลาในกระชัง โดยการติดตั้งเครื่องพ่นน้ำลงในกระชังเลี้ยงปลา หรือเดินท่อเติมอากาศให้กับปลาที่เลี้ยงในกระชังโดยตรง 8.ควรมีการวางแผนการเลี้ยง หรืองดเว้นการเลี้ยงในช่วงหน้าแล้ง โดยทำความสะอาดและซ่อมแซมกระชัง เพื่อเตรียมเลี้ยงสัตว์น้ำในรอบต่อไป “จากสถานการณ์ดังกล่าว กรมประมงได้ดำเนินการเร่งช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากระดับน้ำโขผันผวนในจังหวัดหนองคาย โดยอยู่ในขั้นตอนหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันให้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ และหารือกับองค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อเร่งสำรวจข้อมูลความเสียหายให้เกิดความชัดเจน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ในส่วนของการฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบนั้น กรมประมงจะพิจารณาของบเหลือจ่าย ปี 63 ให้ผลิตลูกพันธุ์ปลานิลแจกเกษตรผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการณ์ในครั้งนี้”ที่ปรึกษากรมประมง กล่าว ทั้งนี้ ในอนาคตกรมประมงจะนำการแจ้งเตือน multiple sensor เพื่อแจ้งเตือนภัยด้านการประมงโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนระดับน้ำและวัดคุณสมบัติของน้ำในลุ่มน้ำโขง เช่น แจ้งเตือนระดับค่าออกซิเจนในน้ำ ระดับความเป็นกรดด่าง ระดับของแอมโมเนีย ระดับความขุ่นของน้ำ เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำในลุ่มน้ำโขงได้ทราบถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่ออาชีพของตนได้อย่างรวดเร็วและทันสถานการณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในลุ่มน้ำโขงได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อาทิ มลพิษต่างๆ จากชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม เกษตรกรสามารถใช้ช่องทางตามมาตรา 58 และมาตรา 59 แห่งพ.ร.ก.ประมง ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการสร้างมลพิษในพื้นที่การทำประมงที่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ ประสานกับสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ เพื่อกำหนดมาตรการบริหารในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ