คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การปรากฏตัวของ “อัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์” เพื่อให้การต่อคณะกรรมาธิการตุลาการ 41 คนเป็นเวลานานถึงสามชั่วโมง และต้องไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองต่ออีกสองชั่วโมงเมื่อวันพุธที่ 24 กรกฎาคมที่เพิ่งจะผ่านมานี้ ซึ่งได้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ นับว่าเป็นเรื่องราวที่ถือว่าดราม่าแบบสุดๆในรอบปี อนึ่งการสืบสวนสอบสวนในเรื่องที่รัสเซียเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 โดยเอื้ออำนวยให้ “โดนัลด์ ทรัมป์”ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีนั้น อัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์ ทำคดีนี้แล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2019 โดยเขาได้ส่งรายงานหนาถึง 448 หน้าไปยังรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมฯ ในช่วง 22 เดือนที่อัยการมุลเลอร์เริ่มทำการสืบสวนในคดีนี้ โดยเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2017 ปรากฏว่า เขาได้ตั้งข้อหาคนอเมริกันที่อยู่ในทีมหาเสียงให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 8 คนด้วยกัน แต่จะขอกล่าวถึงแค่เพียงห้าคนอันได้แก่ “โรเจอร์ สโตน” ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเป็นที่ปรึกษาของ โดนัลด์ ทรัมป์ มานานกว่าสามสิบปี โดยเขาได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้แก่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะหาเสียงเมื่อปี 2016 โดยศาลจะเริ่มไต่สวนคดีในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ “ไมเคิล โคเฮน” ทนายความส่วนตัวของโดนัลด์ ทรัมป์ ติดต่อกันมานานกว่าสิบปี และเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า “เขาคือสมุนมือขวาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในทุกๆเรื่อง” โดยขณะนี้ทนายความผู้นี้อยู่ในคุก โดยเขาถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลาสามปี!!! “พอล มานาฟอร์ต” ประธานด้านการหาเสียงให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกตั้งข้อหาหลายสิบกระทง และถูกจำคุก 7 ปีหกเดือน “ริค เกตส์” ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับมานาฟอร์ต ก็ถูกตัดสินจำคุก 57 เดือน จนถึง 71 เดือน แต่ขณะนี้ยังไม่ถูกสั่งจำคุก โดยเขาผู้นี้ได้ให้ความร่วมมือกับอัยการมุลเลอร์และลูกทีมเป็นอย่างดี!!! “พลโทไมเคิล ฟลินน์” ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยคนแรกในทำเนียบขาวในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เขามีอายุการทำงานสั้นแค่เพียง 25 วัน และเนื่องจากเขาให้ความร่วมมือแบ่งปันข้อมูลลับต่างๆให้แก่อัยการมุลเลอร์เป็นอย่างดี ขณะนี้กำลังรอว่าจะได้รับการพิพากษาเมื่อใดและอย่างไร!!! กระนั้นก็ตามคดีนี้ยังมีชาวรัสเซีย 13 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แถมยังมีสปายสายลับชาวรัสเซียอีก 12 คน และยังมีธุรกิจของรัสเซียอีกสามแห่งที่เข้ามามีส่วนร่วมในคดีดังกล่าว และถึงแม้ว่าภารกิจการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ของอัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์ จะเสร็จสิ้นลงไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกหลายๆประเด็นที่ยังเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอัยการมุลเลอร์มีคำตอบแบบไม่ชัดเจนยังคลุมเคลืออยู่ในทีดังเช่น ไม่เจาะจงอย่างแน่ชัดว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียหรือไม่? และการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์ขัดขวางต่อขบวนการยุติธรรมหรือไม่? เท่าที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอดว่า “ข้าพเจ้าไม่มีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซีย และมิได้ทำอะไรที่ขัดขวางต่อขบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด” อนึ่งคณะกรรมาธิการสองชุดได้เรียกตัวผู้อยู่ในข่ายใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์ไปให้ปากคำ แต่กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาบงการให้เจ้าหน้าที่ในทำเนียบขาวเพิกเฉยไม่ให้ความร่วมมือ!!! อย่างไรก็ตามอัยการพิเศษมุลเลอร์ยังได้ยึดนโยบายของกระทรวงยุติธรรมที่ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่กำลังอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีจะไม่ถูกตั้งข้อหา ถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานว่า ประธานาธิบดีกระทำความผิดก็ตาม” ทั้งนี้อัยการพิเศษมุลเลอร์ยังได้ตั้งข้อสังเกตุอีกด้วยว่า เขาได้พบหลักฐานหลายๆประเด็นที่ส่อให้เห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ขัดขวางต่อขบวนการยุติธรรม อาทิเช่น ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามที่จะปลดตัวเขาขณะที่กำลังทำหน้าที่สืบสวน และประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังพยายามที่จะจำกัดบทบาทของเขาอีกด้วย ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังได้บงการให้ทนายความประจำทำเนียบขาว “ดอน แม็กกาห์น” ปลดอัยการมุลเลอร์ แต่แม็กกาห์นปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำสั่ง รวมถึงการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังสั่งห้ามไม่ให้พอล มานาฟอร์ต อดีตประธานหาเสียงของเขาเดินทางไปให้ปากคำ!!! เป็นที่น่าสังเกตุอีกด้วยว่า ขณะที่ โรเบิร์ต มุลเลอร์ กำลังปฏิบัติหน้าที่อัยการพิเศษอยู่นั้น เขามิได้ทำการสัมภาษณ์ประธานาธิบดีทรัมป์เลย โดยมุลเลอร์ได้อธิบายว่า หากทำเช่นนั้นก็จะยิ่งทำให้ขบวนการล่าช้ามากขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะเป็นข้ออ้างที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายทั่วๆไปต่างบอกว่า “คำอธิบายของมุลเลอร์ฟังไม่ขึ้น และดูเหมือนว่ามุลเลอร์ยังขาดซึ่งความเด็ดขาด” ทั้งนี้หนึ่งวันก่อนที่จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากอัยการมุลเลอร์ กระทรวงยุติธรรมได้ออกมาขีดวงจำกัด โดยสั่งห้ามไม่ให้เขาพูดนอกเหนือไปจากรายงาน 448 หน้าแต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก!!! ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว อัยการมุลเลอร์ก็มิได้มีความเต็มใจที่จะไปให้การต่อคณะกรรมาธิการทั้งสองชุดแต่อย่างใด โดยเขายึดหลักที่ว่ารายงานของเขาทั้ง 448 หน้า ถือเป็นคำตอบในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ที่เขาต้องไปก็เพราะไม่มีทางเลือกเนื่องจากถูกคณะกรรมาธิการทั้งสองชุดเรียกตัวเขาเพื่อไปให้ปากคำ และจากรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์เอบีซี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ ได้ออกมาชี้ว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวโจมตีมุลเลอร์แทบทุกวัน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ชี้ว่าการสอบสวนของมุลเลอร์เป็นเรื่องเหลวไหล และยังกล่าวอีกว่า “ข้าพเจ้ามิได้มีส่วนสมรู้ร่วมคิดแต่อย่างใด” อีกทั้งสถานโทรทัศน์นี้ยังได้อ้างอิงอีกว่า หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้ออกมาระบุด้วยเช่นกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์โจมตีมุลเลอร์ 1,100 ครั้งในรอบสองปีที่ผ่านมา อีกทั้งการพูดปดมดเท็จประจำเป็นรายวันของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้รวบรวมและนำออกมาเปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 20 มกราคม 2017 จนถึงวันที่ 27 มีนาคม 2019 ประธานาธิบดีทรัมป์พูดโกหกไปแล้วรวม 10,111 ครั้ง เท่ากับว่าการพูดปดประจำวันของประธานาธิบดีทรัมป์ได้กลายเป็นประเพณีใหม่ที่ทำให้อเมริกันชนรู้สึกชาชินจนเฉยๆไปเสียแล้ว และยังมีรายงานอีกด้วยว่า คนอเมริกันมีความเชื่อถือและศรัทธามุลเลอร์มากเหนือประธานาธิบดีทรัมป์อีกด้วย!!! โดยขณะนี้นักการเมืองของพรรคเดโมแครตได้มุ่งตรงต้องการที่จะถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ซึ่งเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนต่อไป กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการให้ปากคำของอัยการมุลเลอร์ นับว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับอนาคตเส้นทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์มิใช่น้อย และยังอาจจะเป็นการปลดล็อกต่อปริศนาที่ยังค้างคาใจของคนอเมริกันและทั่วโลกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กระทำผิดหรือเป็นผู้บริสุทธ์อีกด้วยละครับ