“เป๊ปซี่”ออกแถลงการณ์ ปรับขึ้นราคาน้ำอัดลม 3 ขนาด 2-3 บาทจ่อขวด เริ่ม 1 ส.ค.นี้ เผยเป็นไปตามกลยุทธ์การกำหนดราคาให้เหมาะสมกับกลไกตลาด
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังมีข่าวการปรับขึ้นราคาของค่ายน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ทั้งฝั่งของโค้ก และเป๊ปซี่ ที่เริ่มทยอยปรับราคาเครื่องดื่ม (เฉพาะแบบที่มีน้ำตาล) เฉลี่ยที่ 2-3 บาทต่อขวด ก่อนที่มาตรการภาษีน้ำหวานจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ต.ค.62 นั้น
ล่าสุดบริษัทซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ(ประเทศไทย)จำกัด หรือ SPBT ได้ออกแถลงการณ์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การกำหนดราคาสินค้าของบริษัท โดยกลยุทธ์นี้จะรวมถึงการเปิดตัวสินค้าขนาดใหม่ และการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าให้เหมาะสมตามกลไกของตลาด โดยจะมีการติดตามภาวะตลาดและพิจารณาปัจจัยต่างๆ ในการกำหนดราคาและขนาดของสินค้า
โดยในการปรับราคาสินค้าครั้งนี้บริษัทได้ปรับราคาสินค้าบางรายการเพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้บริษัทยังคงยึดมั่นและมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพ พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตลอดไป
สำหรับสินค้าที่มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกแนะนำในครั้งนี้ ประกอบด้วยเครื่องดื่มเป๊ปซี่ 3 ขนาด ได้แก่ เครื่องดื่มเป๊ปซี่ ขนาด 345 มิลลิลิตรจาก 10 บาทเป็น 12 บาท ส่วนขวดขนาด 450 มล.ปรับขึ้นจากเดิม 12 บาทเป็น 15 บาท และขนาด 640 มิลลิลิตรปรับขึ้นจากเดิม 15 บาท เป็น 17 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.62 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี กรมสรรพสามิตปรับอัตราการจัดเก็บเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ อาทิ น้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง น้ำผลไม้โดยจัดเก็บภาษี 2 อัตราตามความเข้มข้นของน้ำตาลคือ ปริมาณน้ำตาลมากกว่า 6-10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 20%ของราคาขายปลีกและปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 25%ของราคาขายปลีก
ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนลดการบริโภคเครื่องดื่มรสหวานลง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจที่สร้างภาระให้ประเทศเสียค่าใช้จ่ายจากโรคเหล่านี้จำนวนมากเพราะเครื่องดื่มในท้องตลาดเกือบทั้งหมด มีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัมต่อมิลลิลิตร อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้เข้าประเทศได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี