เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขอร้องให้เกษตกร ชะลอการเพาะปลูกไว้ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงต่อความเสียหายจากการขาดแคลนน้ำแต่ยัง ยืนยัน ถึงแม้น้ำในเขื่อนจะเหลือน้อยไม่ถึง ร้อยละ 5 ของความจุ ก็ยังเพียงพอต่อการอุปโภคบริเโภค ส่วนภาคการเกษตร
วันนี้ (23 ก.ค.62) นายศุภชัย มโนการ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เปิดเผยว่า จากการที่ฝนทิ้งช่วงมาเป็นเวลานาน ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ประกอบกับค่าเฉลี่ยนของฝนในปีนี้ น้อยลงกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำปริมาณน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในขณะนี้ มีเหลือเพียง 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะนี้ ปริมาณน้ำในเขื่อน มีเหลือเพียง 44 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ถ้าเทียบกับปี 58 เขื่อนมีน้ำที่สามารถใช้ได้เพียง 39 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือเพียง 3 เปอร์เซ็น ซึ่งปีนี้ก็ยังมีมากกว่า
นายศุภชัย มโนการ กล่าวอีกว่า ขอชี้แจ้งกับประชาชนผู้ที่ต้องอาศัยน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ในการอุปโภคบริโภค ไม่ต้องวิตกกังวลเพราะทางเขื่อนป่าสักฯ ยังปล่อยน้ำลงท้ายเขื่อนอย่างต่อเนื่อง ในปริมาณน้ำซึ่งยังมีพอในการใช้รักษาระบบนิเวศน์ การอุตสาหกรรม และการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนเรื่องภาคการเกษตร การทำนา ทางกรมชลประทาน ได้มีการประกาศเตือนแก่เกษตกรไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยของให้ชะลอการทำนาไว้ก่อน พร้อมขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัด และใช้วิกฤติเป็นโอกาส ในการแก้ปัญหาการใช้น้ำในพื้นที่ตัวเอง เก็บกักน้ำไว้ให้เพียงพอ เพื่อเป็นแนวทางในการที่จะรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งในปีต่อไป และใช้ระบบการทำการเกษตรตามแนวพระราชดำริ ของ รัชกาลที่ 9
อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าในขณะนี้ฝนยังไม่ตกลงมา แต่ทางกรมอุตตุนิยม ฯ ก็ประกาศไว้แล้วอีกไม่นานฝนก็จะตกลงมา แต่อย่างไรก็ตาม หากฝนตกลงมาไม่มากพอ และจากสภาวะแห้งแล้งมานาน ทำให้พื้นดินแห้ง เมื่อฝนตกลงมาก็จะซึมลงดินอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำไหลเข้าตัวเขื่อนน้อยลง ซึ่ง ณ วันนี้ ถ้าเปรียบเทียบปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา กลับเมื่อปีที่แล้ว ในห้วงเดือนเดียวกัน จะมีน้ำไหลเข้ามากักเก็บในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนป่าสักฯ แล้วถึง 345 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ ณ วันนี้ มีน้ำไหลลงเขื่อนป่าสัก ยังไม่ถึง 1 ล้านลูกบาศก์เมตรเลย นายศุภชัย มโนการ กล่าวในที่สุด