วันที่ 19 ก.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม.รอง ผบ.ตร. หหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร.รองหัวหน้าศูนย์ฯ พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผบก.ทท.1, พ.ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา, พ.ต.อ.อำนาจ โฉมฉาย รอง ผบก.ทท.1 และพ.ต.อ.เกื้อกมล ดวงประทีป ผกก.1 บก.ทท.1 แถลงข่าวการระดมกวาดล้างชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมทุกรูปแบบ พล.ต.ต.กฤษกร กล่าวว่าตามนโยบายของรัฐบาล ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกวดขันจับกุมกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยโดยการแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยว เพื่อเข้ามาก่ออาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมที่กระทบกับความมั่นคงต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศไทย นั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้สนองนโยบายรัฐบาลโดยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวและกองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว กก.1 บก.ทท.1 ได้ร่วมกันจับกุมนายทา (Mr.THA) อายุ 60 ปี สัญชาติกัมพูชาผู้ต้องหา ก่อเหตุล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 6 ก.ค.2562 ได้รับแจ้งเหตุจาก นักท่องเที่ยวสามีภรรยาชาวใต้หวัน ว่าได้ถูกคนร้ายล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินประกอบด้วยเงินสดและบัตรเครดิตของตนไป โดยคนร้ายได้ก่อเหตุระหว่างที่เหยื่ออยู่บนเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อมายังท่าเรือท่าช้าง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยผู้เสียหายได้สงสัยชายแปลกหน้าที่มีลักษณะมายืนเบียดตนในระยะประชิด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตำหนิรูปพรรณของคนร้ายออกสืบสวนจนต่อมาได้รับเบาะแสจากเครือข่ายภาคประชาชนและพลเมืองดีที่คอยช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเฝ้าระวังอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุว่าพบบุคคลต้องสงสัยดังกล่าว จึงได้แจ้งมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าร่วมตรวจสอบพบนายทา(Mr.THA) ไม่ทราบนามสกุล ผู้ต้องหาพร้อมตรวจยึดทรัพย์สินของกลางได้ จากการสอบถามขยายผลทราบว่าผู้ต้องหาเป็นบุคคลสัญชาติกัมพูชา ไม่มีเอกสารหนังสือเดินทาง โดยได้ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ จากนั้นจะโดยสารรถมาลงย่านรังสิตและเข้ามาตระเวนหาเหยื่อตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ย่านสยาม ห้างสรรพสินค้าและตามท่าเรือต่างๆ ที่มีประชาชนพลุกพล่าน โดยในครั้งนี้ตนได้ตามสังเกตเหยื่อจากบนเรือโดยสารเมื่อใกล้จอดเทียบท่าได้อาศัยจังหวะเดินไปด้านหลังและทำทีเบียดประชิดผู้เสียหายจากนั้นได้รูดซิปกระเป๋าสะพายของผู้เสียหายและล้วงเอากระเป๋าเงินไป โดยผู้ต้องหาให้การว่ามักจะเลือกเหยื่อที่เป็นชาวต่างชาติเนื่องจากมักจะมีทรัพย์สินจำนวนมากและไม่สามารถสื่อสารได้ง่าย ซึ่งโดยปกติแล้วกลุ่มมิจฉาชีพล้วงกระเป๋าชาวกัมพูชาเหล่านี้มักจะมีการก่อเหตุทั้งในรูปแบบบุคคลเดียวและร่วมกันก่อเหตุเป็นกลุ่ม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมผู้ต้องหาดังกล่าว ในความผิดฐาน “ลักทรัพย์หรือรับของโจร และหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำตัวส่ง สน.ปากคลองสาน ดำเนินคดีตามกฎหมาย ​ พล.ต.ต.กฤษกร กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจะได้นำข้อมูลการสืบสวนขยายผลจากการจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพชาวกัมพูชาในครั้งนี้และครั้งก่อนๆ มารวบรวมเพื่อศึกษาแผนประทุษกรรมและปัจจัยที่เสี่ยงต่อการก่อเหตุ ไปใช้พัฒนาแผนการเฝ้าระวังและป้องกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวและประชาชนต่อไป