ต้องถือเป็นเหตุพิพาทระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบข้างเคียงอย่างชนิดบาดลึก ร้ายเหลือ กรณีหนึ่งที่กำลังคุกรุ่นอบอวลด้วยบรรยากาศความขัดแย้ง ณ ชั่วโมงนี้ สำหรับ กรณีพิพาทระหว่างสหรัฐอเมริกา กับอิหร่าน ซึ่งบานปลายไปลากเอา มหาอำนาจจากซีกฟากต่างๆ มาเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นอีกซีกฝั่งอย่าง จีนและรัสเซีย ที่ส่งสัญญาณบอกอาการแนวโน้ม ว่าพร้อมจะยืนเคียงข้างกับอิหร่าน หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายอย่างไม่คาดคิดขึ้น ขณะที่ ทางฟากสหรัฐฯ ก็มีเหล่าชาติพันธมิตร พร้อมกอดคอร่วมตะลุมบอน แบบถึงขนาดเห็นพ้องต้องกันที่จะจัดตั้ง “กองกำลังพันธมิตรนานาชาติ” เพื่อมาดูแลน่านน้ำในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามแผนการที่ทางการวอชิงตันเอื้อนเอ่ย ยิ่ง “อังกฤษ” เมืองผู้ดีชาติพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ก็ถึงขนาดส่งกองเรือตำรวจ ที่ประจำการดูแลน่านน้ำช่องแคบยิบรอลตาร์ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บุกจู่โจมยึด “เกรซวัน” เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ของอิหร่าน ด้วยข้อกล่าวหากำลังจะละเมิดมติมาตรการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชัน จากการที่กำลังไปส่งน้ำมันที่เมืองท่าของซีเรียเข้า ก่อนที่ในเวลาต่อมา ทาง “กองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่านทางน้ำ” หรือ “กองทัพเรือของอิหร่าน” พยายามที่จะบุกยึดเรือบรรทุกน้ำมันของอังกฤษ เพื่อ “เอาคืน” บ้าง แต่ไม่สำเร็จ เมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่บังเกิดขึ้นข้างต้น ก็ทำให้บรรดานักวิเคราะห์หลายคนคาดคิดว่า สหรัฐฯ และอังกฤษ จะเป็นคอหอยกับลูกกระเดือก เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้ง “สงครามอิรัก” และ “สงครามอัฟกานิสถาน” ที่ผ่านมา เสียแล้วกระมัง ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับอังกฤษ หนึ่งในความสัมพันธ์อันยาวนานของทั้งสองประเทศ ทว่า ไปๆ มาๆ เกิดเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้ส่งผลปรากฏว่า ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร สนิทแนบแบบคอหอยกับลูกกระเดือก จนถึงขนาดสามารถกอดคอร่วมกันทำสงครามเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา อาจไม่สะดวกดายเฉกเช่นแต่เก่าก่อนก็เป็นได้ เมื่อล่าสุดได้เกิดเหตุสะเทือนทางความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับอังกฤษ หลังเกิดการรั่วไหลในเอกสารทางการทูตกันขึ้น หลายกรณีด้วยกัน ในยุคที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็ฯผู้นำสหรัฐฯ และเซอร์ คิม ดาร์รอช เป็นเอกอัคราชทูตอังกฤษประจำสหรัฐฯ เซอร์คิม ดาร์รอช อดีตเอกอัคราชทูตอังกฤษประจำสหรัฐฯ โดยก่อนหน้า ได้มีเอกสารทางการทูตของอังกฤษ รั่วไหลมีใจความว่า ทางท่านทูต “เซอร์คิม” ไปวิจารณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ว่า ไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ ก็สร้างความไม่พอใจให้แก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง รวมถึงทางการลอนดอน ต้นสังกัดของท่านทูต จนส่งผลเซอร์คิม ต้องลาออกจากการเป็นทูตอังกฤษประจำสหรัฐฯ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ท่านเซอร์คิม จะเก็บข้าวของ ตบเท้าออกจากสถานทูตอังกฤษ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ไปแล้ว แต่ปรากฏว่า สถานการณ์ความสัมพันธ์ ก็ยังดูไม่ดีขึ้น แถมมิหนำซำ ทำท่าว่าจะหนักหนาสาหัสจากเดิมเพิ่มขึ้นไปอีก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับคำสั่งพิเศษประธานาธิบดีที่ว่าด้วยการออกจากข้อตกลงแก้ไขปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน เมื่อปรากฏเอกสาร หรือบันทึกลับ ที่เรียกว่า เป็น “โทรเลข" ของท่านเซอร์คิม ซึ่งกลายเป็นอดีตทูตอังกฤษประจำสหรัฐฯ ป้ายแดงไปแล้วนั้น ได้พาดพิงถึงกรณีพิพาทอิหร่านกับสหรัฐฯ อย่างชนิดถึงสาเหตุของปัญหาความขัดแย้งที่บังเกิดขึ้นด้วย โดยโทรเลขของท่านทูตเซอร์คิม ซึ่งบันทึกไว้เมื่อปี 2561 (ค.ศ. 2018) ระบุว่า สาเหตุที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ล้มดีลข้อตกลงแก้ไขปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน แท้จริงแล้ว มีเหตุผลเรื่องส่วนตัวของประธานาธิบดีทรัมป์ กับบารัก โอบามา อดีตผู้นำสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญ นั่นคือ นายทรัมป์ จงใจที่จะดูหมิ่น เย้ยหยัน รวมไปถึงขัดขวางความสำเร็จของนายโอบามา ที่ทำเอาไว้ในเรื่องการบรรลุข้อตกลงแก้ไขปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน กับเหล่าบรรดานานาชาติที่มาร่วมทำข้อตกลงด้วย ประธานาธิบดีทรัมป์จึงล้มดีลอย่างที่เห็น โดยเป็นการล้มท่ามกลางการท้วงติงโน้มน้าวของนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษในขณะนั้น ที่ขอให้สหรัฐฯ อยู่ในข้อตกลงต่อไป ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เมื่อครั้งพบปะกับนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ พร้อมกันนี้ ท่านเซอร์คิม ยังตำหนิประธานาธิบดีทรัมป์ ต่อการกระทำดังกล่าวด้วยว่า เป็นพฤติกรรมทำลายล้างอย่างป่าเถื่อนในทางการทูตเลยทีเดียว ก่อนสำทับทิ้งท้ายว่า เพราะเหตุข้างต้นนั้น ก็จะทำให้โลกต้องอยู่อย่างไม่เป็นสุข เพราะสหรัฐฯ กับอิหร่านเผชิญหน้ากันอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่ต่อไป สอดคล้องกับทรรศนะของบรรดานักวิเคราะห์ ที่ระบุว่า ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะไปจบลงตรงไหน เมื่อใด ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติพันฺมิตรอังกฤษกับสหรัฐฯ ในยุคสมัยทรัมป์เช่นนี้ที่ลั่นร้าวกันไป หลังมีรายงานข่าวรั่วของเอกสารโทรเลขลับตามที่ปรากฏข้างต้น