กรมประมงขับเคลื่อน “โครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่” ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มการผลิตและการบริหารจัดการร่วมกัน เปิดโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยได้รวมกลุ่มในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างครบวงจร พร้อมเชื่อมโยงสู่การตลาดเพื่อสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ ที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานิลในกระชังเขื่อนลำปาว ต.ภูดิน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายวิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง พร้อมคณะนำสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมความสำเร็จของเกษตรกรแปลงใหญ่ด้านประมง โดยเข้าเยี่ยมชมการเลี้ยงปลานิลในกระชังเขื่อนลำปาว ชมและชิมผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลานิล เช่น ไส้อั่วปลานิล ปลาร้าผงทรงเครื่อง และเข้าเยี่ยมชมการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ของผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามใน ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ โดยมีนายนรินทร์ มีวงศ์ ประมง จ.กาฬสินธุ์ นายจารึก นาชัยเริ่ม ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดกาฬสินธุ์ นายเมธี อำไพพัศ ผจก.สหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานิลในกระชังเขื่อนลำปาว นายราชิตร์ แก่นทอง ประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานิลในกระชังเขื่อนลำปาว จำกัด และสมาชิกรายงานความก้าวหน้า นายวิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ปัจจุบันการผลิตสินค้าประมงมีการแข่งขันสูงทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ อีกทั้งยังมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้เกษตรกรต้องประสบปัญหาในการจัดการผลผลิตและช่องทางการจัดจำหน่าย รวมทั้งขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลแหล่งทุน ซึ่งเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ยังดำเนินการผลิตสินค้าแบบต่างคนต่างผลิตทำให้ยากต่อการจัดการผลผลิตให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องต่อความต้องการของตลาด และขาดอำนาจการต่อรอง ดังนั้นเพื่อเป็นการลดข้อจำกัดดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้กำหนดแนวทางการพัฒนาของกระทรวง (Road map) โดยมีโครงการที่สำคัญ คือ การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตร ด้านสินค้าพืช ปศุสัตว์ และประมง โดยเน้นให้ความสำคัญในเรื่อง การลดต้นทุนการผลิตด้วยการรวมแปลงเป็นแปลงใหญ่ เพื่อก่อให้เกิดกิจกรรมลดต้นทุนการผลิต สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมตอบโจทย์ในการเพิ่มศักยภาพ และเปิดโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยได้รวมกลุ่มกันในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างครบวงจร พร้อมเชื่อมโยงสู่การตลาดเพื่อสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพได้ นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันมีเกษตรกรที่เข้าร่วมกลุ่มแปลงใหญ่ด้านการประมง ทั้งด้านการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และด้านการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งรวมจำนวน 111 แปลง มีเกษตรกร ภายใต้โครงการฯ จำนวน 6,171 ราย พื้นที่ประมาณ 59,000 ไร่ ซึ่งมีชนิดสัตว์น้ำที่หลากหลายตามความเหมาะสมของพื้นที่และศักยภาพของเกษตรกร อาทิ ปลานิล ปลาตะเพียน ปลายี่สกเทศ ปลากะพงขาว ปลาดุก กบ ปลาหมอ ปลาแรด ปลาสลิด ปลาสวาย ปลาช่อน ปูทะเล กุ้งก้ามกราม กุ้งทะเล เป็นต้น ซึ่งกรมประมงได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาแปลงใหญ่ด้านประมง ปี 2560 – 2564 ระยะเวลา 5 ปี มีเป้าหมายพัฒนาแปลงให้ได้จำนวน 300 แปลง สำหรับการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเริ่มต้นโครงการในส่วนของปลานิลกระชังในปี 2559 ต่อมาปี 2560 ได้ดำเนินกาต่อในส่วนของกุ้งก้ามกราม โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การรวมกลุ่มเกษตรกรให้อยู่ในรูปวิสาหกิจชุมชนและพัฒนาเป็นสหกรณ์ ฝึกอบรมให้ความรู้ทั้งในด้านการเพาะเลี้ยงที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ การรวมกลุ่ม การแปรรูป การพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานฟาร์ม GAP และการตลาด ซึ่งจากผลการดำเนินตั้งแต่ปี 2559 มาจนถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมด 4 แปลง ประกอบด้วย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาในกระชัง, กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาในกระชังท่าเรือภูสิงห์ พื้นที่ 67 ไร่ เกษตรกร 230 ราย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกราม ตำบลลำคลอง พื้นที่ 318 ไร่ เกษตรกร 30 ราย วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงกุ้งก้ามกรามตำบลบัวบาน พื้นที่ 370 ไร่ เกษตรกร 50 ราย และ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาในกระชัง,กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาในกระชังท่าเรือภูสิงห์ พื้นที่ 370 ไร่ เกษตรกร 155 ราย นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ในส่วนของกุ้งก้ามกราม จ.กาฬสินธุ์ มีการเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2520 และถือว่าเป็นแหล่งผลิตกุ้งก้ามกรามแห่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมีต้นทุนแหล่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการในระบบแปลงใหญ่รวม 80 ราย เนื้อที่รวม 688 ไร่ ผลการดำเนินการในปี 2561 ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 187.55 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 203.88 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้น 8.71% ในขณะที่ ต้นทุนการเลี้ยงต่อกิโลกรัมลดลงจาก 137.61 บาท เหลือเพียง 126.20 บาท ลดลง 8.29% สำหรับตัวอย่างความสำเร็จของกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด เกษตรกรได้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อดำเนินกิจกรรมการเลี้ยงกุ้งและการขายกุ้ง รวมทั้งมีการจัดหาปัจจัยการผลิต เช่น พันธุ์กุ้ง อาหารกุ้ง จำหน่ายแก่สมาชิก รวมทั้งมีการได้มีการเชื่อมโยงกับตลาดโดยตรง และจำหน่ายสินค้าภายใต้แบร์นแปลงใหญ่ พ่อค้าที่เข้ามารับซื้อจะต้องติดต่อซื้อขายผ่านกลุ่มเท่านั้น โดยกลุ่มจะทำตารางการเลี้ยงกุ้งของสมาชิกแต่ละราย เพื่อไม่ให้ผลผลิตออกในช่วงเดียวกันมากเกินไป และจะมีการจัดเรียงลำดับการจับกุ้งหมุนเวียนกันไปในแต่ละฟาร์ม การบริหารจัดการด้วยวิธีนี้ พบว่าเกษตรกรได้รับราคาหน้าฟาร์มสูงขึ้น ขายกุ้งคละไซส์ได้ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 250 บาท ซึ่งจุดเด่นของกุ้งก้ามกรามกาฬสินธุ์คือ เนื้อแน่น รสหวานได้มาตรฐาน GAP หากใครอยากกินกุ้งก้ามกรามต้องมากินที่เนื้อแน่น รสหวานต้องมากินที่กาฬสินธุ์ เพราะจะมีทั้งปีในราคาที่จับต้องได้ ส่วนการส่งเสริมการเลี้ยงปลานิลในกระชังในเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างแห่งความสำเร็จจากการรวมกลุ่มกันของเกษตรกร ภายใต้โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ที่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 ครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ ประกอบด้วยอำเภอยางตลาด อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอเมือง อำเภอห้วยเม็ก และอำเภอ หนองกุงศรี โดยปัจจุบัน มีเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลในกระชังในเขื่อนลำปาว 522 ราย จำนวน 13,587 กระชัง ปริมาณการผลิตปีละ 17,504 ตัน มูลค่าประมาณ 1,050 ล้านบาทต่อปีโดยการเลี้ยงปลานิลในกระชัง ในเขื่อนลำปาว ได้มีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ที่ใช้ในการเลี้ยงปลาในกระชังอย่างชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และกรมประมงยังได้ให้คำแนะนำและตรวจรับรองผลผลิตปลานิลให้เป็นไปตามมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (GAP) อีกด้วย “และในปัจจุบัน เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลแปลงใหญ่ในกระชังเขื่อนลำปาว ยังได้ต่อยอดสร้างความเข้มแข็งด้วยกันร่วมบริหารจัดการในรูปของสหกรณ์ เพื่อบริหารจัดการภายในกลุ่มแปลงใหญ่ตั้งแต่ต้นทางไปถึงปลายทาง ซึ่งใน 1 ปี เกษตรกรสามารถเลี้ยงปลาได้ 2 ครั้ง มีตลาดรองรับที่ชัดเจน เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยต่อปีกว่า 200,000 บาท ถือเป็นความสำเร็จของการรวมกลุ่มในรูปแบบแปลงใหญ่ที่ในอนาคตมีโอกาสพัฒนาไปสู่การผลิตปลานิลที่มีคุณภาพป้อนของตลาดทั้งในและต่างประเทศ” นายวิชาญ กล่าว