เอกชนคาดหวังรัฐบาลใหม่พิจารณาขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาทต่อวันโดยใช้มีเงื่อนไขให้สะท้อนตามทักษะฝีมือแรงงาน-คุณวุฒิวิชาชีพ ย้ำค่าแรงขั้นต่ำจะราคาเดียวทั่วประเทศไม่ได้ ระบุขึ้นค่าแรงต้องผ่านกลไกไตรภาคีและพัฒนาฝีมือ ชี้ขึ้นผู้ที่ได้ประโยชน์คือ แรงงานต่างด้าว ส่วนเอสเอ็มอีพังพาบ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)เปิดเผยว่า จากกรณีที่รัฐบาลเสนอให้ปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ตามที่ได้หาเสียงเลือกตั้งนั้น ในมุมมองของภาคเอกชนขณะนี้เศรษฐกิจยังไม่ดี หากปรับขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)แน่นอน สำหรับการปรับค่าแรงจะต้องดำเนินการผ่านคณะกรรมการไตรภาคีและค่าแรงแต่ละพื้นที่จะไม่เท่ากัน โดยจะสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของพื้นที่นั้นๆ เรื่องที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญขณะนี้คือ จะปรับเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไรเพื่อจะให้แรงงานมีโอกาสได้รับรายได้มากขึ้น และไม่เห็นด้วยในการปรับขึ้นค่าแรงทันทีอยู่แล้ว โดยค่าแรงขั้นต่ำจะราคาเดียวทั่วประเทศไม่ได้ ที่สำคัญแรงงานลักษณะนี้ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คือ แรงงานต่างด้าว เราจะเสียผลประโยชน์อีกเป็น 1,000 เป็น 10,000 ล้านบาทและค่าแรงส่วนนี้ไม่หมุนกลับมาเศรษฐกิจในประเทศ คนไทยส่วนใหญ่มีค่าแรงที่ดีขึ้นอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมุ่งปรับทักษะฝีมือแรงงานของแรงงานไทยให้สูงขึ้นได้อย่างไร ขณะเดียวกันการจะปรับค่าแรงขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศด้วย ซึ่งเศรษฐกิจไทยขณะนี้ชะลอตัว การที่จะให้เศรษฐกิจดี ไม่ใช่การที่รัฐบาลไปกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ การที่เศรษฐกิจดีจะต้องทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศดีขึ้น และมีการจ้างงานที่สูงจะทำให้ค่าแรงปรับสูงขึ้นเอง การกำหนดค่าแรงขึ้นท่ามกลางสภาวะอย่างนี้เอสเอ็มอีตายหมด เกษตรกรมีปัญหา เพราะต้องจ้างงาน “รัฐบาลต้องยกเลิกพูดเรื่องค่าแรงได้แล้วควรให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานแทนที่จะทำให้เกิดนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อให้องค์กรต่างๆปรับตัวได้ดีขึ้น และเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลจะมาดูแลเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อให้สามารถลดหย่อน หรือใช้นโยบายภาษีให้ได้ประโยชน์ที่สุดในการลดหย่อนภาษี”