เวทีสภาที่สามชำแหละคดีปล่อยกู้กรุงไทย รุมจี้ “อุตตม สาวนายน” แสดงหลักฐานเอกสารยืนยันไม่เกี่ยวข้อง ยันไม่มีเอกสารปรากฎชัดว่าคัดค้านการปล่อยกู้กรุงไทย เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งเรื่องตรวจสอบ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และสภาที่ 3 จัดเวทีสาธารณะสภาที่ 3 (The Third Council Speak) “คดี อุตตม สาวนายน ใครถูก ใครผิด ประชาชนพิพากษา” ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ดำเนินรายการโดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวว่า กรณีมีการตั้งข้อครหาว่านายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเกี่ยวข้องกับการอนุมัติสินเชื่อธนาคารกรุงไทยให้กับบริษัทในเครือกฤษฎามหานคร คณะกรรมการญาติวีรชนฯจึงได้จัดเวทีเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน นายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ กล่าวว่า คดีมหากาพย์กรุงไทยเกิดขึ้นมานาน ช่วงปี 37-46 บริษัทโกลเด้น กลุ่มกฤษฎามหานคร เป็นลูกหนี้รายใหญ่ของธนาคารกรุงเทพรวม มีหนี้สินรวม 1.3 หมื่นล้าน ช่วงปี 46 ธนาคารกรุงไทยเข้ามาแก้ปัญหา กลุ่มกฤษฎาฯมาขอยื่นกู้เงินธนาคารกรุงไทยเพื่อใช้คืนธนาคารกรุงเทพ กรรมการบริหาร ธนาคารกรุงไทยขณะนั้น มีนายสุชาย เชาว์วิศิษฐ์ นายวิโรจน์ นวลแข นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ นายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา และนายอุตตม สาวนายน เป็นกรรมการบริหาร ผู้มีอำนาจในการอนุมัติสินเชื่อเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.46 บริษัทในเครือกฤษฎามหานครมีการขอสินเชื่อ 3 วงเงิน 1.ใช้คืนหนี้ธนาคารกรุงเทพ วงเงินประมาณ 8,000 ล้านบาท 2. ซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และ 3.พัฒนาสาธารณูปโภค วงเงิน 1,400 ล้านบาท รวมวงเงิน 9,900 ล้านบาท วันที่ 17 ธ.ค.46 มีการประชุมและรับรองรายงานการประชุมวันที่ 9 ธ.ค. 18 ธ.ค. โดยที่นายอุตตม ไม่ได้เข้าร่วมประชุม อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นบริษัท โกลเด้น ได้เบิกเงินกู้วงเงินรีไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาปิ่นเกล้า มีการแยกเช็คเป็น 11 ฉบับ มีการชำระหนี้คืนธนาคารกรุงเทพ 4,400 ที่เหลือนำไปใช้วัตถุประสงค์อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งถือเป็นการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีคุณภาพและสร้างความเสียหายให้กับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐ ภายหลังมีการประชุมคณะกรรมการบริหารเพื่อติดตามการปล่อยสินเชื่อ ก็ไม่ปรากฎว่ามีการคัดค้าน หรือท้วงติงการปล่อยกู้ครั้งนี้แต่อย่างใด “อยากเรียนถามท่านอุตตมว่าท่านแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติสินเชื่อนี้เมื่อใด ในเมื่อท่านอยู่ในคณะกรรมการผู้มีอำนาจในการอนุมัติสินเชื่อครั้งนี้” นายวันชัยกล่าว นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กรณีที่มีการประชุมเกี่ยวกับการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มกฤษฎามหานคร และนายอุตตมไม่ได้มีการคัดค้าน และไม่เห็นด้วยกับกรณีนี้ ตามหลักฐานรายงานการประชุม ต้องถือว่านายอุตตมไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ที่จะคัดค้านการปล่อยสินเชื่อครั้งนี้และมีการรับรองรายงานการประชุมโดยถูกต้อง ซึ่งนายอุตตมต้องแสดงหลักฐานที่มีการยืนยันชัดเจนว่าได้คัดค้านหรือมีการทักท้วงการปล่อยสินเชื่อครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ภายหลังนายอุตตมจะเป็นพยานให้ศาลอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้การว่าได้คัดค้านและไม่เห็นด้วยกับการปล่อยสินเชื่อครั้งนี้ แต่หลักฐานในการประชุมชัดเจนว่านายอุตตมไม่ได้คัดค้าน ถือว่าฟังได้ยากว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง “คดีนี้เป็นคดีกึ่งๆ การเมือง ที่มีความชัดเจนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่ามีความไม่ซื่อสัตย์ อาจจะไปเกี่ยวข้องกับบิ๊กบอสหรือไม่ ประชาชนต้องเป็นผู้พิจารณาตัดสิน” นายชัยเกษมกล่าว พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ (ปช.) กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องร่วมกันช่วยตรวจสอบ เพราะตามรัฐธรรมนูญให้อำนาจทุกฝ่ายเข้ามาตรวจสอบด้วย ซึ่งในคดีนี้ศาลฎีกาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2558 แม้นายอุตตมจะไม่ได้ถูกฟ้องครั้งนี้ แต่ในคำพิพากษาเขียนครอบคลุมกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยทั้ง 5 คน ว่ามีส่วนช่วยเหลือให้จำเลย คือกลุ่มกฤษฎามหานครให้ได้รับสินเชื่อ จำนวน 9,900 ล้านบาท โดยไม่ได้รักษาผลประโยชน์ให้ธนาคารกรุงไทยแต่อย่างใด “ตามรัฐธรรมนูญใหม่ ให้อำนาจ ปปช.ในการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมของนักการเมืองด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเห็นว่าเรื่องนี้ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ทำหน้าที่อย่างสุจริต ก็สามารถยื่นตรวจสอบกับ ปปช.ได้ โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้มีความไม่ต้องถูกต้อง ก็ต้องตั้งเรื่องขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง” พ.ต.อ.ทวีกล่าว ทั้งนี้ นายอุตตม ไม่ได้เข้าร่วมเวทีสภาที่สามในครั้งนี้ แต่ได้มีการชี้แจงผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า “ในการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มบริษัทในเครือกฤษฎามหานคร ได้ทักท้วงในการประชุมคณะกรรมการบริหารแล้วว่าไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ หลังจากนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาตรวจสอบ ไม่พบว่ากระผมมีส่วนในการปล่อยสินเชื่อครั้งนี้ จึงไม่กล่าวโทษ เมื่อคดีถูกโอนให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ชี้มูลว่าผมไม่มีความผิด ตีตกข้อกล่าวหาและไม่ได้ส่งฟ้องต่ออัยการ กระบวนการทั้งหมดจึงยืนยันว่าไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด โดยผ่านการตรวจสอบทุกขั้นตอน” สำหรับความคืบหน้าคดีค่าโง่ทางด่วน 1.37 แสนล้านบาท ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งสภาที่สามได้ติดตามตรวจสอบก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สภาฯได้มีการอภิปรายในญัตตินี้ พ่วงประเด็นการให้สัมปทานบีทีเอสอีก 40 ปี ได้ผลสรุปให้มีการตั้งกรรมาธิการร่วมพิจารณาใน 2 ประเด็นดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลา 4-5 วันพิจารณาให้จบในกรณีค่าโง่ทางด่วน แต่กรณีบีทีเอสต้องใช้เวลา โดยนัดประชุมครั้งแรกในวันที่ 18 ก.ค.นี้