ธนาคารโลกปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือโต 3.5% จากเดิมคาด 3.8%,ส่งออกโตร้อยละ 2.2จากเดิมคาดว่าจะโตกว่าร้อยละ 5 พิษสงครามการค้า-เศรษฐกิจไทยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง-รัฐบาลผสมจาก 19 พรรคการเมือง เสียงปริ่มน้ำ ย้ำรัฐบาลใหม่ต้องเร่งเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐาน-อีอีซี ดึงความเชื่อมั่นผลักดันเศรษฐกิจไทยโตอย่างมั่นคง นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก เปิดเผยว่า ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลง จากเดิมร้อยละ 3.8-3.9 เหลือโตร้อยละ 3.5 และลดคาดการณ์ปี 2563 จากเดิมคาดว่าจะโตร้อยละ 3.9 ลดลงเหลือร้อยละ 3.6 เนื่องจากเศรฐกิจไทยไตรมาสแรกปีนี้ชะลอตัวลง มีอัตราขยายตัวร้อยละ 2.8 เป็นอัตราการขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 3 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางปี 2558 เป็นต้นมา ส่วนการส่งออกตลอดปีนี้ผลกระทบจากการส่งออกไปจีนและยุโรปที่ลดลงซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า ธนาคารโลกจึงคาดว่าการส่งออกปีนี้จะโตในระดับร้อยละ 2.2 จากเดิมคาดว่าจะโตกว่าร้อยละ 5 ส่วนปีหน้าการส่งออกคาดจะโตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.6 ด้านเงินเฟ้อคาดว่าปีนี้เงินเฟ้อจะโตร้อยละ 1.1 และเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.2 ในปี 2563 สำหรับการลงทุนภาครัฐที่ลดลงเป็นปัจจัยลบ ขณะที่มีปัจจัยจากภายนอกประเทศกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่การลงทุนภาคเอกชนยังคงเดินหน้าไปได้ด้วยดี ขณะที่การใช้จ่ายภาคเอกชนยังคงเข้มแข็งช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ธนาคารโลกเห็นว่าความต่อเนื่องทางนโยบายและการนำแผนการลงทุนภาครัฐมาดำเนินการจะมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ด้านจุดยืนของรัฐบาลด้านการคลัง และนโยบายการเงินคาดว่าจะยังคงเดิม รวมทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจมหภาคของประเทศไทยยังคงเข้มแข็ง “ความเสี่ยงคือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในอนาคต ความกังวลที่มีต่อความมั่นคงของรัฐบาลผสมที่เกิดจาก 19 พรรคการเมืองมีผลด้านลบต่อนักลงทุน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอาจมีผลต่อความล่าช้าในการดำเนินโครงการโครงสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลให้ทันกำหนดการที่วางไว้” นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกได้แก่ ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอย่างต่อเนื่อง อาจมีผลให้ความต้องการสินค้าส่งออกจากประเทศไทยลดลง และไม่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนในอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทยกล่าวว่า ความต่อเนื่องของนโยบายและการดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐตามที่ได้วางแผนไว้ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน การเพิ่มการเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคให้ความสะดวกรวดเร็วมากขึ้นและการใช้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการค้าและการบริการ