ศาลอุทธรณ์อนุญาให้สมีฉาว “อดีตหลวงปู่เณรคำ” ประธานวัดป่าขันติธรรม ถอนอุทธรณ์ได้ คดีลวงโลก หลอกประชาชนร่วมทำบุญสร้างพระ แต่กลับไปซื้อเครื่องบินส่วนตัว รถหรู ที่ศาลอาญาสั่งจำคุก 114 ปี แต่จำคุกจริง 20 ปี ตามกฎหมาย หลังสหรัฐฯส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาให้เมื่อปี 2560 แต่ยังติดคดีอนาจาร พรากผู้เยาว์อีก 16 ปี รวมติด 36ปี นอนคุกมาแล้วร่วม 2 ปี เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่4 ก.ค. ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2341/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิรพล สุขผล อายุ 40 ปี หรือ อดีตพระวิรพล ฉัตติโก หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1) (2), 60 โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 – 27 มิถุนายน 2556 ต่อเนื่องกัน จำเลยอาศัยความเป็นพระภิกษุ ในฐานะประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ และความศรัทธาของประชาชน ได้บังอาจหลอกลวงว่า จำเลยนิมิต (ฝัน) พบองค์อินทร์ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างมหาวิหารครอบองค์พระโดยใช้หยกเขียวแท้จากประเทศอิตาลี, สร้างเครื่องทรงพระแก้ว 3 ฤดูด้วยทองคำแท้, ก่อสร้าง เสาวิหารแก้ว 199 ต้น ต้นละ 3 แสนบาท, รูปหล่อพระทองคำ(รูปเหมือนจำเลย) ก่อสร้าง วิหารสำหรับประชาชนที่วัดป่าขันติธรรม สาขา 1 จ.อุบลราชธานี, สร้างวัดที่ จ.สุพรรณบุรี รวมทั้งการจัดซื้อเรือจากสหรัฐ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยจำเลยประกาศชักชวนให้ประชาชน นำเงิน ทองคำ และทรัพย์สินมาบริจาคกับจำเลย ที่วัดป่าฯ โดยจัด ตู้บริจาค 8 ตู้ นอกจากนี้จำเลยยังได้ใช้เว็บไซต์ www.luangpunenkham.comเผยแพร่ข้อความ อันเป็นเท็จเกี่ยวกับการจัดสร้างสิ่งต่างๆ จนมีผู้เสียหาย 29 ราย (เฉพาะที่มาร้องทุกข์) หลงเชื่อว่าจำเลยเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เข้าร่วมบริจาคเงินและทรัพย์สินต่างๆ จำนวนทั้งสิ้น 28,649,553 บาท แล้วจำเลยโอนเงิน 1,130,000 บาท ที่ได้จากการฉ้อโกงไปซื้อรถยนต์โดยทุจริต ทั้งที่ความจริงแล้วจำเลยมิได้ก่อสร้างใดๆเลย เหตุเกิดที่ จ.ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี เชียงใหม่ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลอาญาอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2561 ว่า จำเลยได้นำข้อความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในเว็บไซต์หลวงปู่เณรคำ มีการใช้ชื่อเว็บไซต์ตรงกันกับชื่อจำเลย มีข่าวสารของจำเลยและวัดเป็นหลัก ใจความว่า จำเลยนิมิตพบพระอินทร์ ให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อตรวจพิสูจน์แล้วพบว่า การสร้างองค์พระใช้หินอ่อนหินปูนในการก่อสร้าง ไม่ใช่หินหยกจากอิตาลี ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง โดยไม่มีหลักฐานปฏิเสธว่าจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนผู้เสียหายยืนยันว่า สาเหตุที่ร่วมทำบุญบริจาคกับจำเลย เพราะมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ปฏิบัติดี มีปาฏิหาริย์ เป็นพระอรหันต์ โดยไม่คิดว่าจะถูกหลอก โดยการบริจาคมีทั้งมอบให้จำเลยโดยตรง โอนเงินผ่านบัญชี หรือหยอดตู้บริจาค ต่อมาพบว่าจำเลยนำเงินไปใช้จ่าย ซื้อเครื่องบินส่วนตัว รถยนต์หรู อาทิ ยี่ห้อปอร์เช่ บีเอ็มดับเบิลยู โตโยต้าคัมรี่ และรถตู้หลายสิบคัน บางคันมีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยรถระบุชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ มีหลักฐานการเคลื่อนไหวบัญชีเงินฝาก 23 บัญชี ภายหลังศาลแพ่งได้พิพากษาให้ยึดทรัพย์สินจำนวน 43,478,992 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากจำเลยไม่สามารถนำสืบให้เห็นได้ว่าที่มาของทรัพย์สินนั้นมาจากไหนอย่างไร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการอ้างเท็จเพื่อให้ได้ทรัพย์สินจากบุคคลและผู้เสียหาย ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน และภายหลังจำเลยได้นำเงินบริจาคไปใช้จ่ายเกินความจำเป็นกับความเป็นสงฆ์ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ในการทำบุญ อ้างเป็นทรัพย์สินส่วนตัวมิได้ เข้าข่ายแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 รวม 29 กระทง กระทงละ 3 ปี รวม 87 ปี, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) เป็นเวลา 3 ปี และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1) (2) ,60 รวม 12 กระทง กระทงละ 2 ปี เป็นเวลา 24 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกได้สูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) เป็นจำคุก 20 ปี พร้อมชดใช้เงินให้ผู้เสียหายตามความเป็นจริง 29 ราย ต่อมาอดีตพระเณรคำยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 4 เม.ย.62ที่ผ่านมา อดีตพระเณรคำ ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำอุทธรณ์เนื่องจากไม่ติดใจอุทธรณ์คดี โดยในวันนี้ศาลเบิกตัวอดีตพระเณรคำ ซึ่งถูกคุมขังจากเรือนจำมาศาลเพื่อฟังคำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิจารณาและสอบถามอัยการโจทก์แล้ว ไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์ได้และให้คำพิพากษาเป็นไปตามศาลชั้นต้นคือจำคุกจำเลยไว้ 20 ปี พร้อมชดใช้เงินให้ผู้เสียหายตามความเป็นจริง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอดีตพระเณรคำ หลังกระทำผิดได้หลบหนีไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนทางการสหรัฐส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยตามคำร้องขอของทางการไทยเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2560 นอกจากนี้อดีตพระเณรคำยังถูกฟ้องดำเนินคดีฐานพรากผู้เยาว์ อนาจาร โดยศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ื 17 ต.ค.61 ให้จำคุกไว้ 16 ปี รวมจำคุกอดีตพระเณรคำ 2 คดี รวม 36 ปี ซึ่งขณะนี้รับโทษมาแล้วร่วม 2 ปี