สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) สนับสนุนให้เรือนจำทั่วประเทศ นำข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (The Bangkok Rules) ไปใช้ในการดำเนินงานปรับสภาพเรือนจำได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ TIJ ยังร่วมมือกับ กรมราชทัณฑ์ในการสนับสนุนให้เรือนจำปรับปรุงพัฒนาเพื่อยกระดับให้กลายเป็นเรือนจำต้นแบบด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละเรือนจำ กระบวนการยุติธรรมสามารถช่วยเหลือผู้ต้องขังในระหว่างถูกคุมขัง แต่ชีวิตของผู้ต้องขังภายนอกเรือนจำหลังพ้นโทษ ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากเรือนจำและชุมชน เพื่อให้ท้ายที่สุด ผู้ต้องขังจะสามารถมีพื้นที่ในสังคม ทั้งในแง่ของการยอมรับจากสังคม การได้รับโอกาส และการเป็นคนดีที่ยั่งยืนได้ TIJ ได้นำคณะผู้แทนของหน่วยงานราชทัณฑ์ในจังหวัดภาคใต้เข้าศึกษาการปฏิบัติงานของเรือนจำจังหวัดจันทบุรี หนึ่งในเรือนจำต้นแบบของกรมราชทัณฑ์ เพื่อศึกษาแนวทางในการนำข้อกำหนดกรุงเทพ รวมถึงระเบียบข้อบังคับตามแนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง และเพื่อศึกษาต้นแบบเรือนจำที่มีแนวทางการปฏิบัติงานเชิงบูรณาการระหว่างเรือนจำกับชุมชน ในการสนับสนุนผู้ต้องขังหลังพ้นโทษได้อย่างเป็นรูปธรรม ดร.นัทธี จิตสว่าง ที่ปรึกษาสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรือนจำจังหวัดจันทบุรีนับเป็นเรือนจำที่ประสบความสำเร็จในการเปิดให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเปิดรับผู้ต้องขังกลับสู่สังคม โดยการจัดทำโครงการ “จันแลนด์”เป็นสถานฝึกอาชีพผู้ต้องขัง โดยอาศัยความร่วมมือของชุมชนให้การสนับสนุน ดร.นัทธี กล่าวต่อว่า เรือนจำแห่งนี้ถือเป็นกรณีศึกษาที่ดีด้านการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยที่พยายามให้ชุมชนมีส่วนร่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะนอกจากจะเป็นเรือนจำที่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดกรุงเทพได้อย่างดี ยังเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่สามารถสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างเรือนจำ กับ ชุมชน ในการผลักดันและสนับสนุนให้ผู้ต้องขังกลับคืนสู่สังคมได้ เห็นได้จากการสร้าง “จันแลนด์” ซึ่งภายในเป็นทั้งสวน ร้านอาหาร (เรือนจัน) ร้านกาแฟ (Inspire Café) ร้านจำหน่ายพืชผลเกษตรอินทรีย์ พิพิธภัณฑ์ ร้านนวด และยังมีบริการคาร์แคร์ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังเป็นผู้ให้บริการ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการเรียนรู้และฝึกทักษะต่างๆ เพื่อให้ผู้ต้องขังมีความพร้อมที่จะทำงานหลังจากพ้นโทษ และผลที่ได้ในระยะยาว คือ ปัญหา “คนล้นคุก” ในสังคมไทยก็จะหมดไป “หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหานี้ คือ ชุมชน และ สังคมที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความยุติธรรม โดยการสนับสนุน และส่งเสริมให้ผู้ที่เคยพลั้งพลาดเหล่านี้ให้มีอาชีพที่สุจริตอย่างยั่งยืน เพราะชุมชนเป็นทั้งกลไก และ ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยโอบอุ้มและเยียวยาผู้ที่เคยกระทำผิดให้สามารถดำรงชีวิตนอกเรือนจำได้อย่างปกติสุข หากชุมชนและสังคมเข้าใจ ยอมรับ และมองว่าผู้ที่เคยพลั้งพลาดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ชุมชน และสังคม กระบวนการยุติธรรม และ แนวปฏิบัติต่างๆ อาจช่วยผู้ต้องขังได้ในระหว่างที่ผู้ต้องขังอยู่ภายในเรือนจำ แต่การทำให้ผู้ต้องขังมีพื้นที่ในสังคมอย่างยั่งยืน มิอาจเป็นภาระงานของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะต้องกลายเป็นผู้สนับสนุนและผลักดันให้สังคมเกิดความยุติธรรมที่แท้จริงเสียที” ดร.นัทธี กล่าว