สรท.หั่นประมาณการส่งออกไทยปี62 เหลือ -1% จากเดิมที่เคยคาดโต 1% หลังมูลค่าการส่งออกในเดือนพ.ค.62 ยังคงหดตัวต่อเนื่อง-ผลกระทบปัญหาสงครามการค้า วอนธปท.-คลังดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพระหว่างรอมีรัฐบาลชุดใหม่ น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ( สรท.)เปิดเผยว่า จากที่ได้ติดตามสถานการณ์ภาคการส่งออกของไทยปีนี้ แม้ว่าช่วงนี้จะมีข่าวดีว่าปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน โดยสหรัฐฯผ่อนปรนและอาจจะไม่ใช้มาตรการภาษีตอบโต้กับจีนอีก ทำให้หลายประเทศผ่อนคลายความกังวลลงไปได้บ้าง แต่โดยรวมยังมีอีกหลายปัจจัยที่กระทบต่อภาคการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้ สรท.มองว่าโอกาสที่ตัวเลขการส่งออกปีนี้ที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเป็นบวกร้อยละ 1-3 แต่จากดูตัวเลขการส่งออกในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มขยายตัวติดลบ ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่าตัวเลขการส่งออกของไทยปีนี้น่าจะติดลบร้อยละ 1 ค่อนข้างสูงมาก จากหลายปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้สิ่งที่ สรท.ยังคงกังวลอย่างมากคือ แม้สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนจะไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ แต่ต้องติดตามว่าจะมีมาตรการตอบโต้อะไรออกมาอีกหรือไม่ รวมทั้งความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ สรท.ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง แต่หน่วยงานเหล่านี้ยังไม่สามารถที่จะดูแลปัญหาค่าเงินบาทได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากต้องรอแนวทางของรัฐบาลชุดใหม่ก่อนว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าหลังเลือกตั้งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งภาคเอกชนต่างรอความชัดเจนเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้รัฐบาลใหม่เข้ามากำหนดแนวทางการบริหารและจัดการให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้ โดย สรท.มีข้อเสนอภาครัฐต้องกำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ให้แข็งค่าสูงกว่าคู่ค้าและคู่แข่งที่สำคัญ โดยการใช้มาตรการปกป้องค่าเงินบาทของ ธปท.เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ผิดปกติ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการส่งออก โดยเฉพาะเอสเอ็มอีต้องบริหารจัดการค่าเงินไม่ให้มีความผันผวนขึ้นลงมากเกินไปจนกระทบต้นทุนการส่งออก โดยพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินที่ ธปท.ออกมาตรการประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจากการแข็งค่าของเงินบาท นอกจากนี้ขอให้เร่งจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพทางการเมืองโดยเร็ว และขอให้รัฐบาลใหม่เร่งสนับสนุนภาคการค้าระหว่างประเทศด้านต่างๆโดยเร็ว สนับสนุนการเจรจาความตกลงการค้า FTA มากที่สุด เช่น FTA ไทย-อียู ไทย-ปากีสถาน RCEP และ CPTPP เป็นต้น และการเปิดตลาดใหม่หรือตลาดทดแทน ไม่แน่นอนของสงครามทางการค้า ปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบทางการค้าที่ยังคงเป็นอุปสรรค เพื่อช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูงจากปัจจัยภายในและภายนอก ส่งเสริมการพัฒนาปัจจัยการผลิตที่สำคัญสำหรับการค้า และการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ เป็นต้น สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ค.62 มีมูลค่า 21,017.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 5.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การส่งออกในรูปเงินบาทเท่ากับ 663,647 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเดือนพ.ค.61 มีมูลค่า 20,836.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และการนำเข้าในรูปของเงินบาทมีมูลค่า 666810.3 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้เดือนพ.ค.62 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 182 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และขาดดุล 3,163 ล้านบาท อย่างไรก็ตามตัวเลขส่งออกเดือนม.ค.-พ.ค.62 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 101,561 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทที่ 3,204,470 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 100,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 3,229,146 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ช่วงเดือนม.ค.-พ.ค.62 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 731 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และขาดดุล 24,677 ล้านบาท