วันนี้ (2 ก.ค.62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้ทราบข่าวจากแหล่งข่าวของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ว่ามีการพูดคุย ถกเถียงในวงคณาจารย์ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยถึงประเด็นที่มหาวิทยาลัยมีคำสั่งไล่ข้าราชการออกจากราชการ เนื่องจากทุจริตต่อหน้าที่โดยไม่ทำการสอนในวิชาที่ตนได้รับมอบหมายให้สอน แต่กลับมีการลงลายมือชื่อรับเงินค่าสอนพิเศษโดยมอบหมายให้หัวหน้าสาขาที่ตนเองสังกัดเป็นผู้รับแทน จากแหล่งข่าวคนเดิมยังบอกอีกว่า ผู้ที่ถูกกล่าวถึงในวงสนทนานั้นเป็นข้าราชการตำแหน่งอาจารย์ ที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงของมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นรองอธิการบดี หรือตำแหน่งรักษาการอธิการบดีมาแล้ว แต่กลับตกม้าตายเพราะเรื่องร้องเรียนสมัยเมื่อปี 2551 ที่ตนมีตำแหน่งบริหารและมีชั่วโมงการสอนนักศึกษาด้วย แต่ด้วยภาระหน้าที่งานบริหารที่จะต้องรับผิดชอบรวมถึงการลงพื้นที่ในวิทยาเขตต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หรือจะต้องเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศในช่วงที่มีภาระงานสอนทำให้ไม่ได้เข้าสอนนักศึกษา แต่กลับทำเรื่องเบิกค่าสอนพิเศษ ซึ่งเป็นการทับซ้อนกับการเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงไปต่างประเทศ เลยเป็นมูลเหตุให้มีการร้องเรียนข้าราชการคนดังกล่าวเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิการบดี ต่อสภามหาวิทยาลัย และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือสกอ. จนเป็นเหตุให้ สกอ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัยทั่วประเทศตั้งกรรมการสอบวินัยเมื่อปี พ.ศ. 2561 เรื่อยมาจนถึงปัจุบัน จึงมีมติให้ไล่ออก ตาม พรบ.ข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 55 วรรค 5 และปัจจุบันข้าราชการดังกล่าวก็ได้ทำเรื่องอุทธรณ์ตามกระบวนการทางราชการ ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนักกฎหมายทางการศึกษาเพิ่มเติมว่าการที่ข้าราชการมีคำสั่งถูกไล่ออกนั้น หากมีการอุทธรณ์จะมีการลดโทษหรือยกเลิกคำสั่งได้หรือไม่ โดยได้รับคำตอบเพียงสั้นๆว่า คณะกรรมการที่รับเรื่องอุทธรณ์อาจจะต้องดูเจตนาว่าการกระทำผิดวินัยหรือการทุจริตต่อหน้าที่นั้นได้กระทำโดยตั้งใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเท่าที่ทราบยังไม่มี นอกจากนี้ทางผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่ออดีตอธิบดีที่ถูกไล่ออกคนดังกล่าวหรือผู้ใกล้ชิดก็ไม่สามารถติดต่อได้ ผู้สื่อข่าวจึงได้เข้าไปในมหาวิทยาลัยและได้สอบถามอาจารย์ที่เกี่ยวข้องทราบว่าขณะนี้ข้าราชการคนดังกล่าวถูกไล่ออกจริงและได้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมาแล้ว