คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ในอีกเพียงแค่ 17 เดือนข้างหน้านี้ ระฆังการแข่งขันระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กับ “ตัวแทนของพรรคเดโมแครต” ก็จะเริ่มดังกังวานขึ้นแล้ว โดยขณะนี้นักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตที่สมัครเข้าลงแข่งขันเลือกตั้งในครั้งนี้กำลังเร่งออกมาโฆษณาตัวโชว์ฟอร์มที่เห็นว่าเด่นให้บรรดาสมาชิกในพรรคโดนใจว่า “ตนเองเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะเข้าไปแข่งขันกับประธานาธิบดีทรัมป์” ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ออกมาอวดอ้างสรรพคุณของเขาเองตลอดเวลาเช่นกันว่า “ตั้งแต่เกิดมา ในชีวิตของข้าพเจ้าไม่เคยแพ้ใคร” และยังมีสัญญานออกมาจากค่ายของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยข่าวนี้มีติดต่อมานานแล้วว่า เขาอาจจะเปลี่ยนตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเลือกตั้งสมัยปี 2020 แทนที่จะเป็นรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ แต่เขาอาจจะมุ่งไปเลือกเอาผู้หญิงเข้ามารับตำแหน่งแทน เพราะต้องการที่จะดึงดูดฐานเสียงกลุ่มสุภาพสตรี อย่างไรก็ตามในการเลือกตั้งเมื่อสองปีก่อนหน้านี้ กลุ่มสตรีที่เทคะแนนให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนั้นมีแค่เพียง 41% และจากการเลือกตั้งกลางสมัยเมื่อปีกลายที่ผ่านมานี้ กลุ่มสตรีก็ยังคงเลือกที่จะเทคะแนนให้นักการเมืองของพรรครีพับลิกันแค่เพียง 40% ซึ่งเป็นผลทำให้พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น!!! ทั้งนี้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เคยมีสูงเกิน 50% เลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยขณะนี้กลุ่มสุภาพสตรีที่มีความพึงพอใจต่อประธานาธิบดีทรัมป์มีเพียง 33% และที่ไม่ปลื้มมีสูงถึง 63% สำหรับสุภาพสตรีที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุด ว่าจะเป็นตัวเก็งลงวิ่งแข่งขันเลือกตั้งคู่กับประธานาธิบดีทรัมป์ก็คือ “นิกกี้ เฮลีย์” อดีตผู้ว่าฯรัฐเซาท์แคโรไลนามากว่าหกปี และยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ แต่เธอได้ลาออกจากตำแหน่งเอกอัครราชทูตฯเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมปีกลาย โดยแรกๆมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า “การที่เธอตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเอกอัครราชทูตฯนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า เธอต้องการที่จะลงท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับประธานาธิบดีทรัมป์ แต่เธอได้ออกมากล่าวปฏิเสธต่อข่าวนี้ว่าไม่ต้องการที่จะลงแข่งขันกับผู้ที่เคยเป็นเจ้านายเก่า” ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เคยเอ่ยปากกล่าวชื่นชมนิกกี้ เฮลีย์ ว่า “มีความสามารถสูงในการทำหน้าที่เป็นโฆษกบนเวทีการเมืองระดับโลก” และขณะนี้ได้มีข่าวลือสะพัดออกมาอย่างค่อนข้างหนาหูว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะตัดรองประธานาธิบดีไมค์ เพนส์ ออกจากตำแหน่ง แล้วหันไปคว้าเอานิกกี้ เฮลีย์ เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน เพราะเธอเป็นที่นิยมของกลุ่มสตรี กลุ่มคนผิวสี แถมยังมากด้วยประสบการณ์ และเธอยังไม่มีบาดแผลทางการเมือง อนึ่งในอดีตที่ผ่านมาการปรับเปลี่ยนตำแหน่งรองประธานาธิบดีมิใช่เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด ดั่งเช่นในสมัยของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์ ก็ยังมีการปรับเปลี่ยนรองประธานาธิบดีถึงสามคน ส่วนในสมัยของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ก็เปลี่ยนรองประธานาธิบดีสองคนด้วยเช่นกัน กระนั้นก็ตามหากวิเคราะห์กันในขณะนี้ จะเห็นได้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ยังมีข้อได้เปรียบเหนือนักการเมืองค่ายพรรคโดแครตหลายขุมด้วยกัน อาทิ ประการแรก: ด้านเม็ดเงิน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด โดยเพียงแค่สามเดือนแรกของปีนี้กองทุนหาเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์มีเงินสดอยู่ถึง 49 ล้านเหรียญ ซึ่งมากเป็นสามเท่าตัวของวุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส ที่อาจจะกลายเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต โดยแซนเดอร์สมีเงินสด 16 ล้านเหรียญ ซึ่ง 84% มาจากผู้บริจาคที่มียอดต่ำกว่า 200 เหรียญ!!! และนอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังมีกลุ่มหาเงินให้แก่เขาอีกสององค์กร นั่นก็คือ “ Trump Victory and Trump Make American Great Again” และจากคณะกรรมการกลางของพรรค “The Republican National Committee” ซึ่งทั้งสององค์กรนี้ได้รับเงินบริจาคมาแล้วกว่า 45.8 ล้านเหรียญ ประการที่สอง: สถานะเศรษฐกิจของสหรัฐฯขณะนี้เป็นที่พึงพอใจของคนอเมริกัน และหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ย่อมทำให้สถานะของประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ในขั้นที่ได้เปรียบอย่างมหาศาล ประการที่สาม: ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นที่รู้จักของคนอเมริกันมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งถือได้ว่า เขามีแบรนด์เนมประจำตัวอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีคะแนนนิยมที่ค่อนข้างต่ำก็ตาม ประการสุดท้าย: ประธานาธิบดีทรัมป์มีเครือข่ายค่อนข้างกว้างขวาง และยังมีฐานการเมืองแน่นหนา ที่ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนระดับล่างที่ไม่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และจากผู้ที่นับถือศาสนานิกายโปรแตสแตนท์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนผิวขาว สำหรับนักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครต 25 คน ที่เดินเรียงแถวเพื่อหวังจะได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตนั้น ล้วนแต่มีประสบการณ์ทางการเมืองสูงด้วยกันแทบทั้งสิ้น นักการเมืองของพรรคเดโมแครตที่มากด้วยประสบการณ์ได้แก่ ไมค์ กราเวล อายุ 88 ปี ซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านการเมืองมาแล้วกว่า 56 ปี วุฒิสมาชิกโจ ไบเด้น อายุ 76 ปีมีประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างเชี่ยวชาญช่ำชอง 49 ปี วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์สวัย 79 ปี มีประสบการณ์มากว่า 37 ปี วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรนส์วัย 69 ปี อดีตศาสตราจารย์ด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายๆสถาบัน ซึ่งเธอผู้นี้เป็นนักการเมืองที่มีฝีปากจัดจ้าน ที่ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์หวาดผวาเกรงกลัวแบบสุดๆและเธอก็ยังมีประสบการณ์ทางการเมืองมาแล้วกว่า 10 ปี ส่วนวุฒิสมาชิกหญิงดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรงคามาลา แฮริส อายุ 54 ปี ซึ่งเธอกำลังได้รับความนิยมค่อนข้างสูง และเธอก็ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาแล้วกว่า 6 ปี!!! การเลือกเฟ้นนักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตจะมีขึ้นครั้งแรกที่รัฐไอโอวา ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2020 ส่วนรัฐที่สองก็คือรัฐนิวแฮมเชียร์ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ รัฐที่สามได้แก่รัฐเนวาด้าในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ส่วนเซาท์แคโรไลนาเป็นรัฐที่สี่ที่จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ปี 2020 โดยวันที่ถือว่าสำคัญที่สุดก็คือ ในวันที่ 3 มีนาคม 2020ซึ่งจะให้มีการเลือกเฟ้นผู้ที่จะเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตทั้งหมด 13 รัฐ ฉะนั้นผู้ที่พ่ายแพ้ในรัฐต้นๆก็จะค่อยๆประกาศถอยฉาก โดยในกลางเดือนมิถุนายนปีหน้าคงจะได้ทราบว่า ใครคือผู้ที่จะมีแนวโน้มเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต? กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นในเมื่อตัวเก็งของพรรคเดโมแครตที่จะได้รับเลือกล้วนแล้วแต่มีคะแนนนิยมนำเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์แทบทั้งสิ้น ดังนั้นหากประธานาธิบดีทรัมป์หวังใจต้องการที่จะชนะการเลือกตั้ง เพื่ออยู่ต่อในสมัยที่สอง ดูเหมือนว่าความเสี่ยงที่ถือว่าน้อยที่สุดก็คือ ตัดสินใจเลือกเอานิกกี้ เฮลีย์ เข้ามาในร่วมทีม เพื่อรองรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีละครับ