ต้องถือเป็นคู่ชาติที่กำลังเผชิญหน้า ซึ่งถูกจับตามองต่อสถานการณ์ด้วยใจระทึกคู่ล่าสุด สำหรับ “สหรัฐอเมริกา” มหาอำนาจโลกเบอร์หนึ่งแห่งยุคนี้ กับ “อิหร่าน” หนึ่งในมหาอำนาจแห่งภูมิภาคตะวันออกกลาง ภายหลังจากที่ทั้งสองประเทศ ประจันหน้ากันมานับตั้งแต่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ “ถอนตัว”ออกจาก “ข้อตกลงร่วมว่าด้วยแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม” หรือ “เจซีพีโอเอ (JCPOA : Joint Comprehensive Plan of Action)” หรือที่หลายคนรู้จักและเรียกกันติดปากว่า “พี5บวก1 (P5+1)” ซึ่งว่าด้วยการแก้ไขวิกฤตินิวเคลียร์อิหร่านจาก 5 ชาติมหาอำนาจ (ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐฯ และบวกเยอรมนีเข้าไปอีกหนึ่งประเทศ) เมื่อช่วงเดือน พ.ค.ปีที่แล้ว ด้วยข้อกล่าวอ้างที่ว่า โครงสร้างที่ผุๆ พังๆ ของข้อตกลงดังกล่าว มิอาจหยุดยั้งอิหร่านต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ดังประสงค์ ก่อนที่ในเวลาต่อมา ทางการสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีทรัมป์ ดำเนินมาตรการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชัน ทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลเตหะราน เพื่อเป็นการลงโทษ จากการที่อิหร่านยังคงเดินหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ข้างต้น ส่งผลให้เกิดการตอบโต้จากทางการอิหร่านกัน ในเหตุการณ์ต่างๆ อยู่เป็นระยะๆ เช่นกัน รวมถึงเหตุการณ์ตามที่ทางการสหรัฐฯ กล่าวหาว่า เป็นการกระทำของอิหร่าน ในเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันถึง 2 ลำ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่บริเวณอ่าวโอมาน ใกล้กับช่องแคบฮอร์มุซ เรือบรรทุกน้ำมันและปิโตรเคมี ที่ถูกโจมตีบริเวณอ่าวโอมาน ซึ่งสหรัฐฯ กล่าวหาว่า เป็นฝีมือของอิหร่าน ถึงขนาดที่ทางการวอชิงตัน ต้องเสริมกำลังทหารนับพันนาย ส่งเข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเตรียมไว้สำหรับเผด็จศึกกับอิหร่าน ขณะเดียวกัน ทางฟากอิหร่านก็ไม่ยอมน้อยหน้า เมื่อปรากฏว่า ยิง “ขีปนาวุธ” สอยโจมตี “อากาศยานไร้คนขับ” หรือ “โดรน” ของกองทัพสหรัฐฯ มูลค่า 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5 พันล้านบาท จนร่วงจากฟากฟ้า พังพาบลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี ซึ่งตามการเปิดเผยของรัฐบาลเตหะราน ระบุว่า เพราะโดรนลำดังกล่าว ที่กำลังบินลาดตระเวนอยู่นั้น ได้รุกล้ำน่านฟ้าของอิหร่านก่อน อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ถูกอิหร่านยิงตก ล่าสุด ได้มีการตอบโต้จากทางฝั่งสหรัฐฯ เมื่อมีรายงานว่า พบการโจมตีทางไซเบอร์สของอิหร่านจากทางสหรัฐฯ ซึ่งเป้าหมายของระบบไซเบอร์ ที่ถูกสหรัฐฯ โจมตีในครั้งนี้ ก็เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมการยิงจรวดและขีปนาวุธของ “กองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน” โดยรายงานของบรรดาสื่อในสหรัฐฯ ก็ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สั่งการอย่างลับๆ ไปยังหน่วยบัญชาการไซเบอร์ของสหรัฐฯ ให้โจมตีระบบไซเบอร์ของกองทัพอิหร่านข้างต้น เพื่อตอบโต้ต่อกรณีที่ทางการเตหะราน ถล่มเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ และสอยโดรนของสหรัฐฯ จนร่วงไปก่อนหน้า ซากชิ้นส่วนโดรนของกองทัพสหรัฐฯ ทิ่อิหร่านระบุว่า ถูกกองทัพของพวกเขายิงร่วง นอกจากนี้ ก็ยังมีรายงานด้วยว่า ปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีขึ้น ก็เป็นไปในลักษณะ “ถล่มแบบตัดหน้ากันก่อน” เพราะทางหน่วยงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ มีคำเตือนก่อนนี้ว่า อิหร่านมีแผนการโจมตีทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ ด้วยเหมือนกัน จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องชิงถล่มเพื่อสกัดกั้นกันในทีก่อน แหล่งข่าวจากภายในทางการสหรัฐฯ ก็ระบุว่า นอกจากสงครามไซเบอร์ที่เปิดฉากกันไปแล้วนั้น ทางประธานาธิบดีทรัมป์ก็เคยมีแผนการที่จะใช้ปฏิบัติการทหารถล่มอิหร่านกันเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่จะพับแผนการดังกล่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า อาจเป็นได้ว่า เพราะการเผชิญหน้ากับอิหร่าน สหรัฐฯ ดูจะโดดเดี่ยว ไม่มีแนวร่วมจากเหล่าชาติพันธมิตรสักเท่าไหร่ เช่นอย่าง “ฝรั่งเศส” เอง ก็ยังสงสัยในแรงจูงใจของสหรัฐฯ สำหรับการขัดแย้งกับอิหร่านรอบนี้ ขณะที่ อังกฤษ ชาติพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ก็กำลังมีปัญหาการเมืองภายในที่ต้องสะสาง สวนทางกับอิหร่าน ที่ยังมีรัสเซีย และจีนแผ่นดินใหญ่ ยืนเคียงข้าง ในฐานะชาติพันธมิตร อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์ก็แสดงทรรศนะว่า สถานการณ์ยังไม่น่าวางใจ เพราะเมื่อว่ากันถึงอารมณ์ของชาวอเมริกันแล้ว ณ เวลานี้ จำนวนถึงร้อยละ 48 เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะนำพาสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามกับอิหร่าน ขณะที่ ผู้เห็นต่าง มีจำนวนเพียงร้อยละ 33 เท่านั้น เรียกว่า เกือบครึ่งหนึ่งของอเมริกันชนเลยทีเดียว ที่มองดูสถานการณ์ด้วยใจระทึก