ส.อ.ท.ระบุเปิดภาคเรียนส่งผลใช้จ่ายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องปรับตัวดีขึ้น หนุนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 95.9 รับกังวลสงครามการค้า-น้ำมันพุ่ง-บาทแข็ง มั่นใจตั้งรัฐบาลเสร็จเร็วดึงความเชื่อมั่นครึ่งปี 62 ฟื้นตัว จี้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ให้คนกล้าใช้เงินมากขึ้น พร้อมเร่งเจรจาการค้าเอฟทีเอไทย-อียู ขยายการค้า-ลงทุน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.62 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 95.9 เพิ่มขึ้นจากระดับ 95.0 ในเดือนเม.ย.62 ปัจจัยบวกจากการบริโภคในประเทศเป็นสำคัญ สะท้อนจากการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เนื่องจากเป็นช่วงเปิดภาคเรียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า การพิมพ์ เยื่อและกระดาษ ขณะเดียวกันโครงการก่อสร้างภาครัฐยังส่งผลดีต่อสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง ขณะที่ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านขยายตัวต่อเนื่องจากสภาพอากาศที่ยังอยู่ในช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังกังวลต่อการชะลอตัวของการส่งออกที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาท สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 102.9 โดยเพิ่มขึ้นจาก 101.9 ในเดือน เม.ย.62 เนื่องจากผู้ประกอบการคาดว่าเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้วจะสร้างความเชื่อมั่นต่อการค้าและการลงทุนของไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 โดยปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลกและอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลลดลงได้แก่ ราคาน้ำมัน สถานการณ์การเมืองในประเทศและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยมีข้อเสนอแนะภาครัฐคือ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะมาตรการทางด้านภาษี เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศ อีกทั้งขอให้รัฐบาลเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าหรือเอฟทีเอไทยกับสหภาพยุโรป(อียู)เพื่อขยายตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างกัน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่และเศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงขยายตัว การช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน และการท่องเที่ยวที่ยังคงมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือนพ.ค.62 ยังดี ด้วยยอดรวม 88,097 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 3.7 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2562 ร้อยละ 2.4 ส่วนยอดขายรวม 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.)มียอดขายสะสมรวม 437,722 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 9.1 จึงมั่นใจว่าเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 1.5 ล้านคัน มีโอกาสเป็นไปได้ หากไม่เกิดสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศหรือน้ำท่วมยาวและภัยแล้ง ส่วนการส่งออกรถยนต์ เดือนพ.ค.62 มียอดรวม 95,331 คัน เท่ากับร้อยละ 100.9 ของยอดผลิตเพื่อส่งออก ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 3.58 โดยส่งออกลดลงเกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดเอเชีย ตลาดตะวันออกกลาง ส่วนยอดรวมการส่งออกรถยนต์ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) 462,286 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 0.94 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ3.27 และยังเชื่อว่าเป้าหมายส่งออกรถยนต์ปีนี้ที่ตั้งไว้ 1.1 ล้านคันจะเป็นไปได้ แต่ยังกังวลผลกระทบจากสงครามการค้า ด้านยอดผลิตปี 2562 ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2.15 ล้านคันน่าจะเป็นไปได้