วันที่ 12 มิถุนายน 2562 เวลา 14.00 น. ณ ห้องทำงานผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย นายสุพจน์ ฉันทพจน์ กรรมการสถานศึกษาโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย, นางวรัชยา สีหาแก้ว, นางโชติกา ศรีสุวรรณ พร้อมคณะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง ได้เข้าพบ ดร.พิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย เพื่อยื่นหนังสือให้เปิดเผยข้อมูลการจัดหาชุดนักเรียน ประจำปีการศึกษา 2562 ทั้งนี้ ทางคณะฯ ที่เข้ายื่นหนังสือในครั้งนี้ ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์จากนักเรียนและผู้ปกครอง รวมทั้งการพบเจอปัญหาด้วยตัวเอง เรื่องการจัดหาชุดนักเรียนของโรงเรียนชุมพลโพนพิสัยตาม นโยบายเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ ประจำปีการศึกษา 2562 ซึ่งเห็นว่าการดำเนินการจัดซื้อชุดนักเรียนดังกล่าว ไม่เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นักเรียนส่วนใหญ่ได้ชุดนักเรียนไม่ตรงกับขนาดของตนเองจนใส่ไม่ได้ เดือดร้อนผู้ปกครองต้องจัดซื้อชุดนักเรียนใหม่ ดังนั้น ในฐานะกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครอง จึงได้เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อเป็นการปกป้องสิทธิประโยชน์ของนักเรียน อาศัยอำนาจตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อขอทราบข้อมูลการดำเนินการจัดหาจัดซื้อชุดนักเรียนของโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย ประจำปี 2562 โดยขอทราบจำนวนเงินและวันที่ได้รับเงินจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ (สพฐ.), อยากทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการการจ่ายเงินให้นักเรียนหรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และจำนวนเงินค่าชุดนักเรียนที่โรงเรียนจ่าย, รายชื่อร้านค้าหรือบุคคลที่รับเงินและใบเสร็จรับเงินของร้านค้าหรือบุคคลดังกล่าว นอกจากนี้ ทางคณะฯ ยังมีข้อสงสัยอีกว่า ทำไมทางโรงเรียนฯ ถึงต้องโอนย้ายสิทธิ์การรักษาพยาบาลของนักเรียนโดยไม่แจ้งให้ผู้ปกครองได้รับทราบ นายสุพจน์ ฉันทพจน์ กรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองนักเรียน กล่าวว่า การย้ายสิทธิ์การรักษาพยาบาลของนักเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัยในครั้งนี้ ได้เกิดขึ้นกับตนเองทั้งๆ ที่เป็นกรรมการสถานศึกษา พบว่า ลูกชายของตนป่วยไม่สบาย จึงนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลพิสัยเวช ซึ่งอยู่ในตัวเมืองโพนพิสัยและบ้านก็ติดกับรั้วโรงพยาบาล อีกทั้งลูกชายก็ใช้สิทธิที่นี่มาตลอด แต่เมื่อมาถึงทางโรงพยาบาลพิสัยเวชบอกว่า สิทธิการรักษาพยาบาลของลูกชายนั้นถูกโอนสิทธิไปที่โรงพยาบาลโพนพิสัยโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ต่อมาเมื่อ 2 วันที่แล้ว ลูกสาวของตนก็ป่วยอีกเช่นกัน ก็นำลูกสาวมารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพิสัยเวช ก็มาทราบอีกว่าลูกสาวตนถูกโอนสิทธิเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโพนพิสัยโดยอีกคนโดยตนไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆ ที่สิทธิการรักษาพยาบาลลูกตนทั้งสองคนก็ใช้บริการโรงพยาบาลพิสัยเวชมาตั้งแต่แรกเกิด ส่วนการจัดซื้อชุดนักเรียนใหม่ของโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย นางวรัชยา สีหาแก้ว ผู้ปกครองนักเรียน กล่าวว่า ปกติแล้วในแต่ละปีการศึกษา ทางสถานศึกษาจะให้ผู้ปกครองทำการจัดซื้อเครื่องแบบชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนเอง แล้วนำใบเสร็จรับเงินไปเบิกจ่ายกับทางโรงเรียน แต่ปีนี้กลับพบว่าทางโรงเรียนมีนโยบายในการจัดซื้อชุดนักเรียนใหม่ให้กับนักเรียนทุกคน โดยการกรอกรายละเอียด ชื่อ นามสกุล แล ขนาดของชุดนักเรียน แต่แล้วเมื่อทางโรงเรียนแจกชุดนักเรียนกลับพบว่านักเรียนหลายๆ คน สวมใส่ใส่ชุดนักเรียนไม่ได้เนื่องจากมีขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างไม่ตรงตามขนาด นางโชติกา ศรีสุวรรณ ผู้ปกครองนักเรียนอีกคน กล่าวว่า การจะดำเนินกิจกรรมใดๆ เกี่ยวกับนักเรียน ทางโรงเรียนก็ต้องแจ้งให้ผู้ปกครองได้รับทราบทุกครั้ง โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างชุดนักเรียนในครั้งนี้ นักเรียนได้ชุดนักเรียนไม่เหมาะสมกับราคา 450 บาท เพราะได้เนื้อผ้าไม่เหมาะสมกับราคาซื้อ พวกตนอยากใช้สิทธิ์ของตนโดยการจัดหาหรือจัดซื้อชุดนักเรียนเอง แล้วนำใบเสร็จรับเงินไปเบิกจ่ายแทนเพราะบางคนก็ไม่จำเป็นต้องซื้อชุดใหม่ แต่ต้องการเครื่องแบบหรืออุปกรณ์การเรียนอื่น ด้าน ดร.พิพัฒน์ ศรีสุขพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย กล่าวว่า การจัดซื้อชุดนักเรียนใหม่นั้น การอนุมัติโครงการอยู่ที่ผม ในช่วงที่ผมย้ายมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนนั้น ได้รับข้อมูลว่า ทางโรงเรียนได้เอาเงินให้เด็กไปซื้อชุดนักเรียนใหม่ กลับพบว่าเด็กไม่ได้ไปซื้อชุดแต่เอาเงินไปใช้แล้ว ไปซื้อใบเสร็จมาในราคา 30 บาท ในการจัดหาชุดนักเรียนใหม่ให้กับนักเรียนนั้น เราได้จัดประชุมภาคี 4 ฝ่าย ต้องการเห็นเด็กนักเรียนได้สวมชุดใหม่ในช่วงเปิดภาคเรียน อีกทั้ง นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ (สพฐ.) เอง ก็มีนโยบายที่จะให้นักเรียนมีชุดใหม่ปีละ 1 ชุด คือเงิน 450 กับ 520 บาท เมื่อตนได้พูดคุยกับคณะกรรมการทั้ง 4 ฝ่ายแล้ว และมีมติเห็นชอบให้จัดซื้อชุดใหม่ให้กับนักเรียน ตนก็เลยจัดหาชุดนักเรียนตามมาตรฐานและให้นักเรียนช่วยกันเลือกแบบผ้า จากนั้น ก็ได้ให้เด็กวัดขนาดของแต่ละคน แล้วทำการจัดซื้อจัดจ้าง ขณะเดียวกันก็มีผู้ปกครองโทรมาสอบถามกับตนว่า ทำไมไม่แจกเงินให้ผู้ปกครองไปซื้อเอง ซึ่งตนคิดว่าเป็นการส่งเสริมการกระทำผิดกฎหมาย อีกทั้ง สพฐ.เอง ก็ต้องการที่จะให้นักเรียนได้มีชุดใหม่ จึงเกิดโครงการดังกล่าวขึ้น นักเรียนทั้ง 3,000 คนของโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จึงได้มีชุดนักเรียนใหม่ ส่วนเรื่องการโอนย้ายสิทธิการรักษาพยาบาลของนักเรียนนั้น ครั้งแรกที่ตนย้ายมาก็มีผู้ปกครองนักเรียนที่มีสิทธิอยู่รอบนอกแจ้งมาว่า โรงพยาบาลพิสัยเวชได้รับโอนสิทธิของนักเรียนโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย จำนวนกว่า 3,000 คน ไปทั้งหมด แต่ว่าผู้ปกครองในส่วนรอบนอกไม่ได้พาบุตรหลานมาใช้บริการ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาจึงได้ปรึกษากับครูที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องหลักประกันสุขภาพของโรงเรียนว่า สิทธิในการเลือกใช้บริการสถานพยาบาลนั้นเป็นสิทธิของใคร ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าเป็นสิทธิของนักเรียนเองที่สามารถเลือกใช้สิทธิได้ ดังนั้น จึงได้ไปนำแบบฟอร์มการเลือกสถานพยาบาลดังกล่าวของกระทรวงสาธารณสุขมาให้เด็กนักเรียนยื่นความประสงค์เรื่องหน่วยบริการด้านสุขภาพ โดยทำการแจกนักเรียนทุกคนทั้ง 3,000 คน และประชาสัมพันธ์ว่าในการใช้สิทธิเลือกสถานบริการด้านสุขภาพนั้น จะต้องให้ผู้ปกครองให้ความเห็นชอบด้วยว่า ต้องการให้บุตรหลานใช้สิทธิบริการยังสถานบริการด้านสุขภาพใด จากนั้น 1 สัปดาห์ก็ได้รวบรวมเอกสารดังกล่าว แล้วนำมาทำการแยกว่า สถานบริการนั้นๆ ตั้งอยู่ที่ใดบ้าง จึงได้แจ้งไปยังสถานบริการด้านสุขภาพโดยการส่งบัญชีรายชื่อนักเรียนทั้ง 3,000 คน ไปยังสถานบริการที่นักเรียนต้องการไปรับบริการ และปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลพิสัยเวช ก็มีนักเรียนยื่นความประสงค์ใช้บริการ จำนวน 451 คน พร้อมเขียนข้อมูล ลงยังแผ่นดิสก์เก็ตไปยังสถานบริการ เพื่อความสะดวกในการคัดแยกนักเรียนแต่ละสถานบริการด้วย ส่วนการเกิดปัญหานักเรียน จำนวน 451 คน ที่ใช้สิทธิการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลพิสัยเวช ได้ถูกย้ายสิทธิไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลโพนพิสัยนั้น เกิดจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโพนพิสัย กรอกข้อมูลการใช้สิทธิของนักเรียนทั้ง 451 คน เป็นของ โรงพยาบาลโพนพิสัยทั้งหมด โดยไม่ได้ดูว่านักเรียนนั้นใช้สิทธิของโรงพยาบาลอะไร จึงเป็นที่มาของปัญหาดังกล่าว ซึ่งไม่เกี่ยวกับทางโรงเรียนแต่อย่างใด เพราะโรงเรียนได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง เป็นเรื่องของโรงพยาบาลในการลงทะเบียนนักเรียนเข้ารับบริการ.