นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยในปัจจุบันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากไตรมาส 4 ปี2561 อยู่ที่ 12.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% และคิดเป็น 78.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่ยังไม่ถึงระดับ 80% ของจีดีพี จึงยังไม่รุนแรง และยังไม่น่าเป็นกังวลมากนัก ทั้งนี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้น ควรนำมาวิเคราะห์ว่า เกิดขึ้นจากสาเหตุใด เช่น กู้เงินเพื่อการดำเนินธุรกิจ, กู้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันเนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ, กู้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยฟุ่มเฟือย หรือกู้เพื่อซื้อทรัพย์สิน เป็นต้น ขณะที่จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า โครงสร้างหนี้ของประชาชน เกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย คือ กู้เพื่อการดำเนินธุรกิจ 33.33% กู้เพื่อซื้อทรัพย์สิน 33.33% และกู้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน 33.33% ดังนั้น จึงเชื่อว่า โครงสร้างหนี้ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันยังไม่ปรับเปลี่ยน ประชาชนยังมีวินัยในการก่อหนี้ และปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้น เพื่อนำเงินไปลงทุนในการดำเนินธุรกิจ ซื้อทรัพย์สิน และจับจ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น อย่างไรก็ตามจากเห็นได้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นน่าจะมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจ ดังนั้นรัฐบาลควรแก้ไขด้วย 2 วิธี คือ 1.ต้องเร่งดำเนินการเพื่อทำให้เศรษฐกิจเกิดความคล่องตัว ประชาชนจะได้มีรายได้มาผ่อนชำระหนี้ และ 2.ต้องมีการให้ความรู้ทางการเงิน ควบคู่ไปว่า การก่อหนี้นั้นควรเกิดขึ้นอย่างคุ้มค่า มีผลตอบแทนจากการกู้ยืม เพื่อให้ประชาชนสามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้