Life is Beautiful / แทนคุณ จิตต์อิสระ เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์น่าดูอีกเรื่อง ที่เรียกว่ามาได้จังหวะที่การเมืองบ้านเรากำลังลงตัวกับการเมืองเรื่องสภาผู้แทนราษฎร ได้ประธานสภาผู้แทน ได้รองสภา และการจัดตั้งรัฐบาลก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้น เรียกได้ว่า เรื่องการเมืองการมุ้งต่างๆ ที่ประชาชนรอคอยมาเป็นเวลานนานก็ได้เวลาสะสางคลี่คลายไปตามวาระกรรมของแต่ละห้วงจังหวะที่แตกต่างกัน ดูเป็นรายชั่วโมง พลิกขั้ว เปลี่ยนข้างกันเป็นว่าเล่น แต่ก็นี่แหละการเมือง ดูให้เป็นศิลปะทางการใช้อำนาจอย่างที่ผู้รู้เค้ากล่าวไว้จะได้ไม่เครียด ไม่ต้องอินมาก ดูเหมือนเป็นละครฉากใหญ่ฉากหนึ่ง ที่วันนี้อาจมีตัวละครใหม่ๆขึ้นมาบ้าง แต่ก็ต้องทำให้เป็นสิ่งใหม่จริงๆ มิฉะนั้นแล้วคนก็เดาทางกันได้หมด ไม่สนุก เท่าที่ควร ก็พอดีเป็นจังหวะ ที่ค่ายสหมงคลฟิล์มส่งหนังสนุกกระตุกอารมณ์ขัน อย่าง Long Shot ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ม้ามืดแห่งปี 2019 นำโดยดาราตลกตัวพ่ออย่าง เซธ โรเกน จาก (Pine Apple Express, The Interview) และดาราคุณภาพอย่าง ชาลิซ เธอรอน (Mad Max : Fury Road , Prometheus) เรื่องราวของ เฟร็ด ฟลาสกี้ เป็นนักข่าวหัวขบถมากฝีมือที่มักจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนตลอดเวลา ตามสไตล์ นักข่าวสายการเมืองที่มักจะตั้งคำถามกวนอารมณ์ผู้มีอำนาจตลอดเวลา เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกไปเขียนข่าว และหลายๆข้อมูลก็เป็นที่ถูกอกถูกใจประชาชน เป็นอย่างมากเพราะเป็นการไขข้อข้อข้องใจและช่วยตรวจสอบไปในตัว แต่ในขณะเดียวกัน กับผู้มีอำนาจ ทั้งหลายก็ย่อมจะไม่ถูกใจเป็นธรรมดา เพราะคำถามแต่ละคน แต่ละเรื่องก็เล่นเอาหน้าชาไปตามๆกันก็มี นอกเรื่องนิดนึง ต้องถือว่าที่จริงแล้ว สื่อมวลชนสายการเมืองกับนักการเมือง ก็เป็นทั้งไม้เบื่อไม้เมา หรือน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าก็ได้ คือ ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน นักการเมืองถ้าไม่มีข่าวหรือไม่มีนักข่าวนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจของเขา หรือเชียร์เขา โอกาสจะเป็นที่รู้จักของประชาชนก็น้อยลงทุกที หนักเข้าถ้าเจ้าตัวเกิดทำอะไรผิดพลาด เช่นพูดกร่าง หรือไปทำให้เกิดปัญหาการไม่โปร่งใสแล้วถูกขุดคุ้ย ตามล้างตามเช็ด กัดไม่ปล่อยของนักข่าวก็จะทำให้เป็นที่กินแหนงแคลงใจกันได้ ในมุมกลับกัน การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนก็ควรได้รับความคุ้มครองให้มีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แม้ว่ารูปแบบการเสพข่าวของประชาชนจะมีหลากหลายขึ้น อาจไม่ได้ติดตามจากนักข่าวโดยตรง เหมือนแต่ก่อนเท่านั้น เพราะมีสายนักข่าวพลเมือง หรือประชาชนลุกขึ้นมาเป็นนักข่าว เกาะติดข้อมูลจากแหล่งข่าว คือ เฟสบุ๊ค หรือโซเชียลมีเดียของนักการเมืองเสียเองก็มีเยอะแยะแล้วก็เข้าไปโพสต์ แชร์ เม้นกับเต็มไปหมด แม้แต่นักข่าวที่จะเจาะลึกประเด็นใหม่ๆใหญ่ๆแบบที่โลกตะลึงเลยในปัจจุบัน ก็มีไม่มากแล้ว เพราะหลายประเด็นที่เป็นการตรวจสอบอาจต้องรอให้ถึงกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ชี้มูลและตัดสินถึงที่สิ้นสุดไม่อย่างนั้นก็อาจกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งในการโจมตีจากฝ่ายตรงกันข้ามไปเลยก็มี ดังนั้นการทำงานของนักข่าวสายการเมือง มีชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายพอสมควร จะล้ำเส้นไปทางไหนก็อาจมีข้อตำหนิติเตียน ได้ก้อนอิฐมากกว่าดอกไม้ ยิ่งถ้าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ ประสบการณ์ไม่มี อาจถูกนำข้อความที่โพสต์หรือพูดในที่สาธารณะ หรืออาจจะส่วนตัวแต่ตั้งค่าเป็นสาธารณะ แล้วถูกถ่ายภาพหน้าจอเก็บไว้ได้ทัน จนแม้กระทั่งเจ้าตัวลบไปแล้ว ออกมาขอโทษหรือเปลี่ยนแปลง แนวทางแล้วแต่สิ่งที่เขียนไว้ หรือโพสต์ไว้ก็อาจจะคอยตามหลอกหลอนเขาและเธอเหล่านั้นไปตลอดจากการขุดคุ้ยของนักข่าวหรือประชาชนก็เป็นได้ เรื่องแบบนี้ นับวันจะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวงการการเมืองและสื่อมวลชนของเราอย่างแยกกันไม่ออกเลยก็ว่าได้ กล่าวถึงหนังต่อนะครับ เมื่อนักข่าวของเรา เขาได้พบกับ ชาร์ล็อตต์ ฟิลด์ หนึ่งในสตรีที่มีอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก เธอเป็นนักการเมืองสาวที่ทั้งสวยทั้งฉลาด มีบทบาทเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก เพราะใครที่ติดตามการเมืองทั้งไทย เทศจะรู้ดีว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะมีนักการเมืองผู้หญิงปรากฏตัวขึ้นมาสักครั้ง ในขณะที่สวยใส ไร้มลทิน การจะก้าวขึ้นมา เป็นประธานาธิบดี ผู้นำหมายเลข 1 ก็ต้องฝ่าฟันอะไรต่ออะไรมาเยอะขนาดไหน แต่สิ่งที่พลักผันไปกว่านั้นก็คือ ก่อนที่จะเป็นแบบที่เธอเป็นทุกวันนี้ เธอเคยเป็นพี่เลี้ยงของเฟร็ดมาก่อน แถมยังเป็นรักแรกของเฟร็ดด้วย ไฮไลท์อยู่ตรงที่ เมื่อชาร์ล็อตต์ตัดสินใจลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี เธอจ้างเฟร็ดมาเป็นคนร่างสุนทรพจน์ให้ การโคจรกลับมาเจอกันครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความฮา เมื่อทั้งคู่ต้องผจญภัยพร้อมกับรำลึกความหลังไปด้วยกัน พร้อมๆกันการคิดค้นยุทธวิธีต่างๆ ที่ทำให้เธอสามารถชนะในศึกเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ เพราะในการเลือกตั้งนั้น การจะสื่อสารทางการเมืองทั้งในเรื่องของนโยบาย ความตั้งใจจริงเชิงอุดมการณ์ และการพูดคำปราศรัย ที่ทำให้ได้ใจประชาชน ที่เป็นฐานเสียง เรียกว่าพลิกบทบาท เอาวิชาชีพที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ นำเสนอให้ประชาชน มาเป็น “พี่เลี้ยง” ที่ช่วยทำให้เกิดภาพลักษณ์ทางการเมือง ที่ดี งานนี้เรียกว่าไม่หมูทีเดียวครับ ที่อยากจะให้ติดตามอีกอย่างคือ การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เป็นเรื่องที่อาจจะต้องถูกตรวจสอบจากฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องจับตามอง เพราะบอกได้เลย ว่าถ้าเป็นบ้านเราแล้วมีประเด็นนี้ก็กำลังร้อนแรง เรื่องการห้ามผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. ถือหุ้นในสื่อ เพราะกลัวจะครอบงำสื่อทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้ห้ามไปถึงการจ้างสื่อมวลชนให้ช่วยเขียนสคริปต์ปราศรัยแบบในเรื่องนี้นะครับ เลยไม่รู้ว่าจะหักมุมขนาดไหน ผมได้อ่านพล็อตเรื่องแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า จะต้องลุ้น ต้องหลบ ต้องรบก็คนที่จ้องจะจับผิดและตรวจสอบย้อนกลับยังไงดี ถ้าถูกเปิดโปงขึ้นมาจะแก้ปัญหาอย่างไร และที่สำคัญ ความรักแรกในวันวานที่ใสซื่อบริสุทธิ์ กับวันนี้ที่เต็มไปด้วยการต่อสู้กับขวากหนามทางการเมือง รักนั้นจะช่วยผลักดันให้เกิดรักระหว่างรบได้หรือไม่ ล้วนแล้วแต่ต้องติดตามกันต่อไปครับ สุดท้ายผลลัพธ์ จะเป็นอย่างไรต้องติดตามครับ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือ ความสนุกสนานและมุกตลกที่สอดแทรกตลอดทางจะมันส์ขนาดไหน อาจช่วยทำให้ผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมืองที่กำลังร้อนแรงในบ้านเราได้เยอะเลยทีเดียวก็ว่าได้ ภาพยนตร์ เรื่องนี้ เข้าฉาย วันที่ 30 พฤษภาคม ศกนี้ครับ ไปดูสนุกทั้งครอบครัว ได้เกร็ดเรื่องการเมือง ได้มองเรื่องความรัก ได้พักเรื่องเครียด และได้ลุ้นนางเอกของเราเบียดได้เป็นประธานาธิบดีได้สำเร็จหรือไม่ ติดตามกันครับ