วันที่ 26 พ.ค.62 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายได้ลักรถยนต์กระบะตราโล่ ที่ใช้ในราชการของ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ขับหลบหนีจนกระทั่งประสบอุบัติเหตุ และถูกจับกุมได้ภายในเขต สภ.หลังสวน ภ.จว.ชุมพร ว่า ได้รับรายงานจาก สภ.หลังสวน ก่อนเกิดเหตุ ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ว่าเมื่อเวลา 23.00 น.ของวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 เกิดเหตุ คนร้ายได้ลักรถยนต์กระบะตอนครึ่งยี่ห้อโตโยต้า สีเทา หมายเลขทะเบียนโล่ 17240 จอดอยู่บริเวณศูนย์จราจร ในพื้นที่ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี โดย โดยได้ทุบกระจกด้านข้างของศูนย์จราจรได้รับความเสียหายเพื่อเอากุญแจรถ แล้วขับรถหนีมุ่งหน้าเข้ามาในเขต สภ.หลังสวน จึงได้ประสานให้ช่วยสกัดจับกุมผู้ต้องหา ต่อมาวันนี้ 26 พฤษภาคม 2562 เวลาประมาณ 01.00 น. ทางพนักงานสอบสวน สภ.หลังสวน รับแจ้งเหตุรถยนต์กระบะดังกล่าว ประสบอุบัติเหตุ พุ่งชนกับเสาไฟฟ้าได้รับความเสียหาย บริเวณสามแยกพะโต๊ะ หมู่ 4 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถกระบะได้รับความเสียหาย ตรวจสอบภายในรถพบ คนร้ายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทราบชื่อภายหลังจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ พร้อมตรวจหาสารเสพติดในร่างกายพบว่ามีสารเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะของนายอัครเดช ปาละแก้วผู้ต้องหา จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หลังสวน ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ขับรถในทางโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย และขับขี่รถในขณะมีสารเสพติดให้โทษประเภท(1) เมทแอมเฟตามีนในร่างกาย และพรุ่งนี้ 27 พฤษภาคม 2562 จะนำตัวผู้ต้องหาไปขอฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดหลังสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่าในส่วนของทาง สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ในวันนี้ทางพนักงานสอบสวนจะได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อขออนุมัติหมายจับนายอัครเดช ปาละแก้ว ผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในความผิดฐาน “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์” เพื่อจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดี ในอีกฐานความผิดหนึ่ง ที่ผ่านมา ได้กำชับพนักงานสอบให้ดำเนินการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน อย่างตรงไปตรงไปมา ด้วยความรอบครอบ รวดเร็ว เป็นธรรม อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ พร้อมยังกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มความเข้มงวด ในการตรวจตราและป้องกันเหตุการณ์ประทุษร้ายต่อชีวิตหรือทรัพย์สินของประชาชน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีแผนการปฏิบัติให้สอดคล้องกับสถานการณ์อาชญากรรม พร้อมกันนี้ได้กำชับผู้บังคับบัญชาทุกพื้นที่ ให้กำหนดมาตรการป้องกันเหตุ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีก โดยหากเกิดเหตุต้องติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้โดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน