รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่าในการประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ช่วงบ่ายวันนี้ (23 พฤษภาคม) เพื่อตัดสินใจในการกำหนดจุดยืนว่าจะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับขั้วการเมืองใด หรือเลือกเป็นฝ่ายค้านอิสระนั้น ในที่ประชุมได้มีการหารือถึงผลการเลือกตั้งที่ออกมา และได้สรุปออกเป็น 4 แนวทางด้วยกัน คือ
1 หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ จะเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประเทศชาติเดินต่อไม่ได้ สุดท้ายต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่
2 หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นขั้วที่ 3 ไปร่วมกับพรรคภูมิใจไทย และพรรคในซีกพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ เสียงก็ไม่พอจัดตั้งรัฐบาล ประเทศชาติเดินต่อไม่ได้เช่นกัน
3 หากพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ก็เกิดรัฐบาลได้ แต่เสียงปริ่มน้ำ รัฐบาลคงจะมีอายุไม่ยาวนัก
4 หากจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ต้องไปโหวตใช้เสียง 2 ใน 3 เพื่อหานายกฯคนนอก ซึ่งแทบจะเป็นไม่ได้ที่จะมีเสียงมากขนาดนั้น
“จาก 4 แนวทางดังกล่าว เห็นว่าแนวทางที่ 3 เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำก็ตาม เพราะพรรคประชาธิปัตย์จะมีโอกาสได้สร้างผลงาน และอยู่ในอำนาจขณะที่มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับเงื่อนไขต่อพรรคพลังประชารัฐในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลนั้น แหล่งข่าวระบุว่า ประกอบด้วย 1ต้องรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน เพราะได้ก่อให้เกิดปัญหามากมาย 2..ในกระทรวงเกรดเอหรือกระทรวงที่มีโครงการจำนวนมาก หรือมีผลประโยชน์มากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย โดยอยางน้อยๆ ต้องได้รับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย เพื่อช่วยในการปกป้องการทุจริตคอร์รัปชั่น และ 3.พรรคประชาธิปัตย์ขอสงวนสิทธิ์ที่จะลาออกทันทีที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น
“จากการประสานไปยังพรรคพลังประชารัฐนั้น ในเบื้องต้นได้รับการตอบรับในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งแล้ว ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ทางพรรคจะร่วมกับพลังประชารัฐในการจัดตั้งรัฐบาล”แหล่งข่าวกล่าว