นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บมจ. แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนที่ตั้งเป้าให้ปี 2562 เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวความสำเร็จ (Harvesting Success) โดยจากผลการดำเนินงานในงวด 3 เดือน (1 มกราคม 2562 - 31 มีนาคม 2562) บริษัทฯ ยังคงทำผลงานได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2562 เติบโต 14% จากปี 2561 โดยตั้งเป้ารายได้รวม 19,800 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 18,000 ล้านบาท โดยทั้งปี 2562 จะเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 4 โครงการ นีโอโฮม (บ้านแฝด) จำนวน 3 โครงการ ทาวน์โฮม จำนวน 15 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด 6 โครงการ และรายได้จากโครงการเชิงพาณิชย์ 1,800 ล้านบาทจากอาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ สาทรสแควร์ เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ และสามย่านมิตรทาวน์ที่เตรียมรับรู้รายได้จากการเปิดให้บริการในช่วงเดือนกันยายน 2562 ส่วนภาพรวมธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าที่ทางบริษัทฯ บริหารพื้นที่อยู่กว่า 340,000 ตารางเมตร พบว่า อาคารสำนักงานที่บริษัทฯ บริหารพื้นที่ มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยกว่า 95% ทุกโครงการ ขณะภาพรวมของตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอ ในเขตซีบีดี ยังคงเติบโต มีอัตราการเช่าเฉลี่ยสูงกว่า 94% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด และมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,025 บาทต่อตารางเมตร หรือเติบโต 3% จาก ปีที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าตลาดอาคารสำนักงานเก่าจะได้รับผลกระทบจากซัพพลายอาคารสำนักงานที่เตรียมเปิดใหม่อีกกว่า 870,000 ตารางเมตรที่ทยอยเปิดให้บริการในปี 2565 เป็นต้นไป ซึ่งแนวโน้มของพื้นที่อาคารสำนักงานจะมีความคล่องตัวสูงขึ้น โดยโคเวิร์คกิ้งสเปซจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่อาคารสำนักงานมากขึ้น เนื่องจากเข้ามาตอบโจทย์บริษัทฯ ที่ไม่ต้องการลงทุนก่อสร้าง-ตกแต่งมูลค่าสูง ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้คมนาคมหลายทาง ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน ทางด่วน สำหรับตลาดค้าปลีกหรือรีเทล มองว่า ตั้งแต่ปี 2563-2570 ตลาดรีเทลจะปรับรูปแบบในการเป็น รีเทลแบบเดี่ยว มาสู่การเป็นศูนย์รวมแบบครบวงจรหรือมิกซ์ยูส ที่ประกอบด้วย ศูนย์การค้า ร้านค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม ศูนย์การประชุม โรงละคร หรืออาจมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งทุกส่วนผสมล้วนเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ปัจจุบันมีรีเทลในมิกซ์ยูสที่มีการเปิดเผยข้อมูลแล้วกว่า 9 โครงการ และคาดว่าเทรนด์มิกซ์ยูสจะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคต “ในปีครึ่งปีหลังของปี 2562 สถานการณ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังคงต้องจับตามองปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อธุรกิจ เช่น มาตรการอัตราส่วนการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านเทียบกับมูลค่าบ้าน (LTV) อาจส่งผลให้ผู้ซื้อ ได้รับความลำบากในการซื้ออสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และยังคงต้องรอนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้ง จากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ทำให้บริษัทฯ ต้องทำการตลาด และวางแผนการขายอย่างรัดกุมมากขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น แต่บริษัทฯ ยังคงมีความเชื่อมั่นเดินหน้าเปิดโครงการ ในช่วง 9 เดือนหลังของปี 2562 (1 เม.ย. 2562 – 31 ธ.ค. 2562) รวมทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวม 29,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 13 โครงการ นีโอโฮม 3 โครงการ และบ้านเดี่ยวอีก 3 โครงการ และโครงการต่างจังหวัดอีก 6 โครงการ”นายธนพล กล่าว