"สมคิด"ชี้ชัดเศรษฐกิจไทยชะลอตัวรับผลกระทบสงครามการค้าจีน-มะกัน ผสมโรงการเมืองไทยไม่นิ่ง แต่เศรษฐกิจไทยพื้นฐานดีช่วยรับผลกระทบได้ระยะหนึ่ง วอนการเมืองตั้งรัฐบาลเร็ว พร้อมหารือทูตพาณิชย์ 30-31 พ.ค.นี้ ประเมินผลกระทบสงครามการค้า ดันแผนพยุงส่งออก จ่อเป้าส่งออกเหลือเท่าเอกชนต่ำกว่า 3% เมื่อวันที่ 15 พ.ค.62 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯรอบใหม่ ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงแน่นอน บวกกับสหรัฐฯมองว่าไทย manipulate หรือแทรกแซงค่าเงินบาท สภาวะอย่างนี้จะกระทบผู้ส่งออกหนักยิ่งขึ้น แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยดียังพอรองรับกับภาวะที่เกิดขึ้นได้สักระยะหนึ่ง และหากการเมืองไทยดีขึ้นทุกอย่างจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย จึงอยากให้การเมืองเร่งมือให้มีความชัดเจนเร็วที่สุด ซึ่งในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้กระทรวงพาณิชย์จะประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกก็จะได้ใช้โอกาสนี้ประชุมกับทูตพาณิชย์ ขณะนี้ได้สั่งการให้เตรียมลู่ทางที่ชัดเจนว่าจะแก้เกมได้อย่างไร เพราะเชิงบวกต่อการส่งออกไทยก็มีเช่นกัน "ที่ผ่านมาคิดโครงการช่วยลดการชะลอตัวเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอลงเร็ว แต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโซเชียลจึงไม่ได้ดำเนินการ ช่วงนี้เวียดนามได้ประโยชน์สูงสุด เพราะการเมืองนิ่งไม่ใช่ไทยที่การเมืองไทยยังไม่ลงตัว การลงทุนในไทยจึงชะลอตัว เพราะนักลงทุนรอความชัดเจน แต่อย่ากลัว เชื่อว่าจะเป็นเพียงระยะสั้น" ด้าน น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า วันที่ 30-31 พ.ค.62จะมีการประชุมทูตพาณิชย์ โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อประเมินสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯและจีนเริ่มรุนแรงมีการเรียกภาษีหลายกลุ่มสินค้าทั้งอุตสาหกรรม เกษตรกรรมค่อนข้างสูง แม้ว่าไทยจะได้รับทั้งผลดีและผลกระทบ โดยคาดว่าจากมาตรการตอบโต้ทั้ง 2 ประเทศ น่าจะทำให้การส่งออกไทยหายไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2-3 ทำให้ทบทวนเรื่องนี้เร่งด่วน และคาดการณ์ว่าการประชุมครั้งนี้นอกจากจะมีการรับฟังการวิเคราะห์ทูตพาณิชย์ไทยทั่วโลก เพื่อรับทราบแนวทางและทิศทางว่าการทำตลาดส่งออกหรือหาตลาดชดเชยหรือแผนเจาะตลาดต่างๆ จะสามารถชดเชยการสูญเสียจากมาตรการตอบโต้ทั้ง 2 ประเทศอย่างไร โดยเบื้องต้นจากที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ส่งออกปี 2562 จะเป็นบวกไม่น้อยกว่าร้อยละ 8 แต่หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งปัญหาสงครามสหรัฐฯและจีน ราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอน ทำให้เป้าหมายส่งออกปีนี้อาจไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ และไม่เพียงไทยเท่านั้นผลกระทบนี้ถือว่ากระทบทั่วโลก ดังนั้นจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาถ้าส่งออกไทยปีนี้จะเติบโตมากว่าร้อยละ 2-3 ถือว่าน่าพอใจแล้ว แต่จะเป็นอัตราบวกเท่าไหร่คงต้องรอความชัดเจนในการประชุมร่วมปลายเดือนนี้ เพราะจะมีความชัดเจนของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมว่าครึ่งปีหลังจะสามารถผลักดันการส่งออกให้เติบโตเป็นบวกเท่าไหร่ เบื้องต้นมีแนวโน้มที่กระทรวงพาณิชย์จะเสนอเป้าหมายใหม่ ใกล้เคียงภาคเอกชนที่ประเมินแล้วว่าปีนี้เทรดวอร์ส่งผลต่อการส่งออกทั่วโลก และมีโอกาสที่ไทยจะโตต่ำกว่าร้อยละ2-3