กรมส่งเสริมการเกษตร ย้ำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด ไม้ผล อ้อย และไม้ดอกไม้ประดับ ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร กับกรมส่งเสริมการเกษตร ส่วนยางพารา ขึ้นทะเบียนได้ที่ กยท.ทุกจังหวัด รองรับประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการควบคุมการขาย ซึ่งวัตถุอันตราย 3 สาร เมื่อวันที่ 14 พ.ค.62 นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 5 เมษายน 2562 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 เพื่อจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ รวมทั้งเงื่อนไขในการผลิต การนำเข้า การส่งออก การมีไว้ครอบครองและกำหนดให้มีบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบในการควบคุมการขาย โดยในส่วนของเกษตรกรที่จะใช้สารพาราควอต และไกลโฟเสต จะต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูก ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด ไม้ผล ยางพารา และอ้อย ขณะที่เกษตรกรที่จะใช้สารคลอไพรีฟอส จะต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชไร่ ไม้ดอกไม้ประดับ และไม้ผล ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านการอบรมและทดสอบหลักสูตรการใช้สารเคมีที่ถูกต้องและปลอดภัย โดยขณะนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ทุกสำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรอำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการของกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 1,625 คน เพื่อเป็นวิทยากรอบรมและให้ความรู้กับเกษตรกร ซึ่งเกษตรกรจะต้องผ่านการอบรม ผ่านการทดสอบ ถึงจะมีสิทธิในการซื้อตามปริมาณที่ได้รับการควบคุม ดังนั้น เกษตรกรที่จำเป็นในการใช้ 3 สาร ลำดับแรกต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร เพื่อแสดงสิทธิ์ในการเข้ารับการอบรม การทดสอบและการซื้อ สารดังกล่าว ทั้งนี้ การขึ้นทะเบียนเกษตรกร สำหรับเกษตรกร ผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจนอกจากจะมีสิทธิ์เข้ารับการอบรมเพื่อซื้อ 3 สาร แล้ว ในเกษตรกรผู้ปลูกไม้ผลเพื่อการส่งออก ปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะจีนมีเงื่อนไข ด้านคุณภาพสินค้า ที่จะต้องผลิตในระบบ GAP และผ่านจุดรวบรวมผลผลิตที่ได้รับ GMP แล้วเท่านั้น ซึ่งเกษตกรกร ผู้ปลูกไม้ผล ต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบและยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว จึงขอย้ำให้เกษตรกรผู้ปลูกไม้ผล ขึ้นทะเบียนเกษตรกร เพื่อขอรับรองมาตรฐาน GAP ปัจจุบันเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกไม้ผล และอ้อย ยังมีน้อย เมื่อเทียบกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้เกษตรกรทุกคน รีบมาขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยเกษตรกรสามารถไปขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้ ณ สำนักงานเกษตรอำเภอ ที่ตั้งแปลงปลูกทั่วประเทศ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ของตนเอง