ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ อาจารย์สาขาวิชาโรคไต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เปิดเผยว่า คนไทยกินเค็มกว่าความต้องการของร่างกายถึง 2 เท่า โดยกินเค็ม (โซเดียม) ประมาณ 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ความต้องการของโซเดียมในร่างกายของคนเราที่ได้รับและไม่ทำให้เกิดอันตราย คือ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ส่งผลทำให้คนไทยโดยส่วนใหญ่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDS เช่น โรคความดัน ไต หัวใจและอัมพาต โดยเราพบว่าคนไทยที่เป็นวัยรุ่นและมีภาวะความดันโลหิตสูงมีเพิ่มจำนวนมากขึ้นและอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันเราพบผู้ป่วยเบาหวานและความดัน อายุเพียง 20 กว่าปี เพิ่มมากขึ้น พอเริ่มทำงานอายุประมาณ 30 กว่าปี เริ่มป่วยเป็นโรคไต ทั้งนี้เกิดจากการบริโภคอาหารไม่ถูกต้องและจากการสำรวจล่าสุดพบว่าเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี มีการบริโภคเค็ม เกินปริมาณ 2-5 เท่า ดังนั้นจึงมีวิธีการลดเค็มง่ายๆ ด้วยการหยุด ! 6 พฤติกรรมติดเค็ม ประกอบด้วย 1.ปรุงรสชาติอาหารโดยไม่ชิม อาหารส่วนใหญ่ที่ปรุงมานั้นมีรสชาติความเค็มอยู่แล้วหรือมีโซเดียมสูงอยู่แล้ว แต่พอไม่ชิมแล้วปรุงเพิ่มไปอีก ก็ยิ่งทำให้ได้รับโซเดียมเพิ่มมากขึ้น 2.ติดการกินอาหารแปรรูป อาหารแปรรูปนั้นมีโซเดียมในตัวอยู่แล้วจากการถนอมอาหารและมีโซเดียมแฝงเข้ามาอีกจากการเติมสารปรุงแต่งต่างๆ จึงทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมคูณสองเข้าไปอีก 3.จับน้ำจิ้ม แบบไม่บันยะบันยัง อีกหนึ่งนิสัยของคนไทยคือ ชอบราดน้ำจิ้มแบบเยอะๆ ซึ่งตัวอาหารบางอย่างก็มีโซเดียมอยู่แล้ว พอจิ้มน้ำจิ้มเพิ่มเข้าไปก็ยิ่งได้รับโซเดียมเพิ่มเข้าไปอีก 4.ซดน้ำซุปแทบหมดชาม อาหารกลุ่มก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ สุกี้ต่างๆ ที่มีความเข้มข้นมากเพราะมีการเติมซอสปรุงรส ซุปก้อน ผงปรุงรสต่างๆ ลงไป ซึ่งถือว่ามีโซเดียมปริมาณสูง 5.เสพติดน้ำยำ ส้มตำต่างๆ ในน้ำยำ น้ำส้มตำเหล่านี้มีการเติมผงปรุงรสที่มีโซเดียมสูงโดยสารปรุงรสเหล่านี้มักไม่ค่อยเค็ม จึงต้องมีการเติมลงไปมากๆ เพื่อให้ได้รสชาติที่ต้องการ 6.กินอาหารที่มีไตปลา ปลาร้า พริกแกงและกะปิ เนื่องจากวิธีการทำอาหารทั้ง 4 อย่างนี้โดยธรรมชาตินั้น มีโซเดียมผสมอยู่แล้วและหากมีการปรุงรสเพิ่มเข้าไปอีกก็ยิ่งทำให้ผู้ทานได้โซเดียมจากสารปรุงรสเข้าไปอีก ผู้อ่านท่านใดหากเกิดปัญหาในเรื่องของการลดการบริโภคเค็มหรือต้องการช่วยรณรงค์การลดบริโภคเค็มเพื่อช่วยเหลือหรือแนะนำตัวเอง เพื่อน หรือผู้ใกล้ชิด สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เพจเว็บไซต์ www.lowsaltthai.com หรือ @ ไลน์ ได้ที่ @lowsaltthailand