กรมวิชาการเกษตร จัดงาน “รำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ตามรอยที่พ่อสร้าง” สืบสานงานตามพระราชดำริด้านเกษตร พร้อมขยายผลงานวิจัยพืชสู่เกษตรกรใช้ได้จริง เปิดช่องทางสร้างอาชีพสร้างรายได้บนพื้นที่สูง ณ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 13-20 มกราคม 2560 กรมวิชาการเกษตรได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) จัดงาน “รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ตามรอยที่พ่อสร้าง” ขึ้น ณ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่(ขุนวาง) อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่เคยเสด็จพระราชดำเนินศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ถึง 3 ครั้ง คือ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2523 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2525 และวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2527 โดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการบุกเบิกก่อตั้งระยะแรกผ่านโครงการหลวง เพื่อพัฒนาการเกษตรบนพื้นที่สูง เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชาวไทยภูเขา ทั้งยังลดพื้นที่ปลูกฝิ่นรวมทั้งลดปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำและลดการทำไร่เลื่อนลอย ทำให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงมีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอในชุมชน สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ขณะเดียวกันยังมุ่งแสดงผลการดำเนินงานของกรมวิชาการเกษตร ที่ได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดุลยเดช ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสู่สาธารณะชน เช่น การทดสอบพันธุ์พืชจากต่างประเทศ การขยายพันธุ์พืชที่ผ่านการทดสอบสู่เกษตรกร และการศึกษาระบบปลูกพืชอื่นๆ รองรับมูลนิธิโครงการหลวงในการวิจัยพืชเมืองหนาว เป็นต้น พร้อมจัดแสดงผลงานวิจัยด้านการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืช เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม การจัดการก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลผลิต ตลอดจนมุ่งขยายผลงานวิจัยด้านพืชไปสู่เกษตรกร ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงในระดับฟาร์ม เป็นช่องทางสร้างอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป นายสุวิทย์ กล่าวอีกว่า ผู้ที่เข้าชมงานฯ จะได้เรียนรู้ประวัติการทรงงานด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดุลยเดช โดยกรมวิชาการเกษตรได้จัดทำเส้นทางตามรอยที่พ่อสร้าง ให้พสกนิกรได้ศึกษาเรียนรู้ 6 จุดหลัก ประกอบด้วย 1.ศาลาวิชาการและนิทรรศการผลงานวิจัยด้านพืชขยายผลสู่เกษตรกร 2.ศาลารถพระที่นั่ง 3.ต้นบ๊วยและมะคาเดเมียทรงปลูก 4.หุบรับเสด็จและพลับพลาทรงงาน 5.แปลงกาแฟทรงทอดพระเนตรและโรงแปรรูปกาแฟ และ6.เส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน แปลงทดลองมะคาเดเมีย กาแฟ บ๊วย และศาลาชมวิว นอกจากนั้น เกษตรกร นักท่องเที่ยว และผู้สนใจเข้าร่วมชมงานฯยังจะได้สัมผัสบรรยากาศและอุณหภูมิที่หนาวเหน็บบนดอยขุนวาง และช่วงเวลาที่จัดงานดังกล่าว ต้นพญาเสือโคร่งหรือซากุระเมืองไทยบนดอยขุนวางยังออกดอกสีชมพูบานสะพรั่งเต็มต้นรับนักท่องเที่ยวหรือผู้มาเยือนด้วยจึงไม่ควรพลาด “กรมวิชาการเกษตรได้สนองงานตามพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้ปรับปรุงพันธุ์พืชที่เหมาะสมสำหรับปลูกบนพื้นที่สูงและขยายผลไปสู่เกษตรกรในพื้นที่แล้ว อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ ลำพูน ลำปาง พะเยา และน่าน ได้แก่ กาแฟอะราบิก้าพันธุ์เชียงใหม่ 80 มะคาเดเมียพันธุ์เชียงใหม่ 400 พันธุ์เชียงใหม่ 700 พันธุ์เชียงใหม่ 1000 และบ๊วยพันธุ์บารมี 1 ทำให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงมีอาชีพและมีรายได้ที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น” ทั้งนี้ การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวนักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้เส้นทางได้ 2 เส้นทาง เส้นทางแรก จากจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านอำเภอสันป่าตอง เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1013 ไปอำเภอแม่วาง ผ่านอำเภอแม่วางไป จะมีทางแยกซ้ายมือให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นเส้นทางจะลัดเลาะขึ้นภูเขาไปอีกประมาณ 40 กิโลเมตร ช่วงสุดท้ายของเส้นทางนี้จะเป็นถนนดินแดงประมาณ 5 กิโลเมตร หน้าฝนจำเป็นต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ เส้นทางนี้รวมระยะทาง 86 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที เส้นทางที่สอง จากจังหวัดเชียงใหม่ไปอำเภอจอมทองก่อน เข้าตัวอำเภอจอมทอง เลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหมายเลข 1009 ขึ้นดอยอินทนนท์ จนถึงกิโลเมตรที่ 31 เลี้ยวขวา เป็นถนนลาดยางไปประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ตั้งศูนย์วิจัยเกษตรหลวงดอยขุนวาง รวมระยะทาง 115 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับผู้ที่มช้บริการรถโดยสารประจำทาง จากประตูเชียงใหม่ มาถึงจอมทอง จากนั้นต้องต่อรถสองแถวจากจอมทอง-แม่แจ่ม ลงตรงทางแยกขึ้นดอยอินทนนท์ที่กิโลเมตร 31 จากจุดนี้ต้องเหมารถสองแถวให้เข้าไปยังขุนวางอีก 16 กิโลเมตร หรือเหมารถตั้งแต่ที่อำเภอจอมทอง ส่วนที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงขุนวาง มีบ้านพักรับรองนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 4 หลัง แต่ละหลังพักได้ตั้งแต่ 4-8 คน มีจุดกางเต็นท์ 2 จุด คือ บริเวณลานหญ้าหน้าอาคารสำนักงาน และบริเวณหุบรับเสด็จ ทั้งสองจุดรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ100 คน และมีอาหารบริการในราคากันเอง แถมกาแฟอาราบิกาให้ชิมฟรีตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ควรติดต่อไปล่วงหน้า โทร. 0 5311 4136 โทรสาร 0 5343 2276เปิดทำการทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น.