วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2325 ในพระบรมมหาราชวัง โดยไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในสมัยอยุธยา
ภายในวัดประกอบด้วยศาสนสถานสำคัญ ได้แก่ พระศรีรัตนเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ปราสาทพระเทพบิดร ประดิษฐานพระบรมรูปบูรพมหากษัตริย์ พระอัษฎามหาเจดีย์ พระระเบียงคดเขียนจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์โดยรอบ ที่สำคัญคือ พระอุโบสถเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธี และรัฐพิธีทางพระพุทธศาสนา อาทิ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ประกอบพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ปราสาทพระเทพบิดร ตั้งอยู่ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นอาคารจัตุรมุขทรงไทย ยอดปราสาททรงปรางค์ ประดับกระเบื้องเคลือบสีทั้งหลัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2398 เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระราชทานนามว่า “พระพุทธปรางค์ปราสาท” ครั้นก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชวินิจฉัยว่าปราสาทแห่งนี้มีขนาดเล็กไม่เพียงพอแก่การพระราชพิธีต่างๆ จึงอัญเชิญพระเจดีย์กาไหล่ทองของรัชกาลที่ 4 มาประดิษฐานเป็นประธาน ถึงปลายรัชกาลเกิดเพลิงไหม้เครื่องบนหลังคาปราสาทและพระเจดีย์กาไหล่ทองจนหมดสิ้น เมื่อบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จบริบูรณ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชในพระบรมราชจักรีวงศ์ 5 พระองค์ และพระราชทานนามใหม่ว่า “ปราสาทพระเทพบิดร” จากนั้นรัชกาลต่อๆ มา โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ประดิษฐานเพิ่มเติมถึงปัจจุบัน คือ พระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 8 ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จพระราชดำเนินไปถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ณ ปราสาทพระเทพบิดร
หมู่พระมหามณเฑียร เรือนหลวงหลังคาทรงจั่ว มีช่อฟ้า หน้าบัน ปลูกเชื่อมต่อกัน สร้างเมื่อพุทธศักราช 2328 ประกอบด้วย พระที่นั่ง 3 องค์ พระปรัศว์ซ้าย พระปรัศว์ขวา และหอ 2 หอ คือ หอพระเจ้า และหอพระธาตุมณเฑียร
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งประธานในหมู่พระมหามณเฑียร เป็นพระวิมานที่บรรทมของพระมหากษัตริย์ และเป็นมณฑลพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรในการพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกพื้นสูง แบ่งออกเป็น 3 หลัง คือ องค์กลาง องค์ตะวันออก และองค์ตะวันตก มีเฉลียงรอบและมีเสานางเรียงรับชายคาโดยรอบทั้ง 4 ด้าน
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตั้งอยู่กลางระหว่างท้องพระโรงหน้าของพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานกับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มีลักษณะเป็นพระที่นั่งโถงยาว ยกพื้นสูง ทอดยาวไปตามทิศตะวันออก – ตะวันตก ผนังทิศตะวันออกของพระที่นั่งมีพระทวารสำหรับเสด็จพระราชดำเนินไปยังหอพระสุลาลัยพิมาน หน้าพระทวารประดิษฐานพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร 7 ชั้น) ส่วนผนังด้านทิศตะวันตกมีพระทวารสำหรับเสด็จพระราชดำเนินไปยังหอพระธาตุมณเฑียร หน้าพระทวารประดิษฐานพระที่นั่งภัทรบิฐ ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตร 9 ชั้น)
พระที่นั่งไพศาลทักษิณเป็นที่ประดิษฐานพระสยามเทวาธิราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เป็นสถานที่ทรงรับน้ำอภิเษก เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมขัตติยราชวราภรณ์ เครื่องราชูปโภค และพระแสงราชศัสตราวุธในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
หอพระสุลาลัยพิมาน บางแห่งเขียนเป็น หอพระสุราลัยพิมาน เดิมเรียก หอพระเจ้า มีมุขกระสันเชื่อมระหว่างหอพระสุลาลัยพิมานกับพระที่นั่งไพศาลทักษินทางทิศตะวันออก เป็นที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุเพื่อทรงสักการบูชา ได้แก่ พระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปต่างๆ
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นท้องพระโรงสำคัญที่พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงใช้เป็นที่ประกอบพระราชกรณียกิจสำคัญของบ้านเมือง เช่น เสด็จออกขุนนาง เสด็จออกมหาสมาคมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ตลอดจนเสด็จออกรับทูตต่างประเทศที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ที่ปลายสุดของท้องพระโรงเป็นที่ประดิษฐานพระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน และด้านหน้าพระที่นั่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร
หอศาสตราคม หอขนาดเล็กหลังคาทรงไทยมุงกระเบื้องเคลือบสี อยู่ริมกำแพงแก้วพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยด้านตะวันออก เดิมเป็นพระที่นั่งโถงที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ต่อมาในรัชกาลพระบาททสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งแล้วสร้างหอศาสตราคมขึ้น สำหรับให้พระสงฆ์ฝ่ายรามัญนิกายมาสวดพระปริตรทำน้ำพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระมหากษัตริย์สรงพระพักตร์ และสรงเป็นประจำวัน ตลอดจนประพรมรอบพระมหามณเฑียร คือ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
ในรัชกาลที่ 4 – 5 – 6 และรัชกาลที่ 7 มีการสวดพระปริตรทำน้ำพระพุทธมนต์ และประพรมน้ำพระพุทธมนต์รอบพระมหามณเฑียรทุกวัน ในรัชกาลที่ 9 และรัชกาลปัจจุบัน ได้นิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายรามัญ 5 รูป มาสวดพระปริตรทำน้ำพระพุทธมนต์ และประพรมน้ำมนต์รอบพระมหามณเฑียรทุกวันธรรมสวนะ เสร็จแล้วนิมนต์พระสงฆ์ 1 รูป ประพรมน้ำพระพุทธมนต์รอบพระมหามณเฑียรครั้งหนึ่ง และนิมนต์พระพิธีธรรมจาก 10 วัด คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ วัดจักรวรรดิราชาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร วัดระฆังโฆสิตาราม วัดประยุรวงศาวาส วัดอนงคาราม และวัดราชสิทธาราม จำนวนวัดละ 5 รูป ผลัดเปลี่ยนกันมาสวดทำน้ำพระพุทธมนต์ รวมเก็บไว้ในหม้อน้ำมนต์เพื่อจัดไปถวายสรงทุกวันตามราชประเพณีที่ได้เคยปฏิบัติสืบมา
น้ำพระพุทธมนต์จากหอศาสตราคมนี้ กรุงเทพมหานครกราบบังคมทูลขอพระราชทานนำไปเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ของกรุงเทพมหานคร เพื่อรวมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดต่างๆ 76 จังหวัดทั่วราชอาณาจักร สำหรับถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นระหว่างหมู่พระมหามณเฑียรกับหมู่พระมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง เดิมประกอบด้วยหมู่พระที่นั่งต่างๆ รวม 11 องค์ ปัจจุบันเหลือเพียง 4 องค์ โดยมีพระที่นั่งที่สำคัญที่สุดคือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างเมื่อพุทธศักราช 2419 เพื่อเป็นท้องพระโรง ลักษณะเป็นอาคาร 3 ชั้น และมีพระที่นั่ง 3 องค์ เชื่อมต่อกันคือ พระที่นั่งองค์กลาง พระที่นั่งองค์ตะวันตก และพระที่นั่งองค์ตะวันออก โดยชั้นบนพระที่นั่งองค์กลางเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ รัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 9 ท้องพระโรงกลางเป็นที่ประดิษฐานพระแท่นพุดตานถม ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนี้ ในรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เป็นที่เสด็จออกรับทูตานุทูตที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคลในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร พระที่นั่งองค์เดิมเป็นอาคาร 2 ชั้นแบบตะวันตก มีเฉลียงต่อกับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อและสร้างใหม่ เพื่อขยับขยายพื้นที่จัดเลี้ยงและรับรองพระราชอาคันตุกะและแขกสำคัญของบ้านเมือง ลักษณะอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณีผสมตะวันตก หน้าบันประดับพระบรมราชสัญลักษณ์จักรีล้อมด้วยสังวาลนพรัตน์ และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9 โดยมีบันไดเลื่อนเชื่อมไปยังท้องพระโรงหลังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท การก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช 2549 และได้ใช้ในงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแด่สมเด็จพระราชาธิบดี และสมเด็จพระราชินีต่างประเทศ พร้อมทั้งบุคคลสำคัญ เนื่องในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พุทธศักราช 2549 เป็นครั้งแรก
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เป็นที่พระราชทานเลี้ยงคณะทูตานุทูต
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นกลางทางฝั่งตะวันตก ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เสด็จออกว่าราชการ ต่อมาเป็นที่ตั้งพระบรมศพพระมหากษัตริย์ รวมทั้งพระอัครมเหสีและพระศพพระบรมวงศ์บางพระองค์
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งก่ออิฐถือปูน ยกพื้นสูงรูปจัตุรมุข หลังคาทรงปราสาท มุขเด็จด้านหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นมุขโถง มีพระที่นั่งบุษบกมาลาตั้งอยู่กลางมุขเป็นที่สำหรับเสด็จออกมหาสมาคม หรือเสด็จออกให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เสด็จพระราชดำเนินด้วยขบวนราบใหญ่จากวัดพระศรีรัตนศาสดารามไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเพื่อถวายบังคมพระบรมอัฐิ และพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี
พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนกำแพงแก้วระหว่างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งลักษณะพลับพลาโถง ทรงปราสาทจัตุรมุข ลงรักปิดทองประดับกระจกทั้งองค์ หน้าบันแต่ละมุขมีรูปท้าวจตุโลกบาลประดับตามทิศที่สถิต มีบันไดขึ้นลงทั้ง 4 ด้าน เคยใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีโสกันต์ และใช้เป็นพลับพลาสำหรับประทับพระราชยานรับส่งเสด็จ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคด้านทิศตะวันออกและตะวันตกจึงมีเกยสำหรับประทับพระราชยาน
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เป็นที่ประทับพระราชยานในการเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนราบใหญ่ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายบังคมพระบรมอัฐิ พระอัฐิ สมเด็จพระบรมราชบุพการี ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ตั้งอยู่บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง ระหว่างประตูเทวาพิทักษ์กับประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ สร้างในรัชกาลที่ 1 เพื่อเป็นที่ประทับทอดพระเนตรขบวนแห่ในพระราชพิธีสนานใหญ่ และการฝึกช้าง ลักษณะเป็นพลับพลาโถง ทำด้วยเครื่องไม้ มีอัฒจันทร์ขึ้นลงทางทิศเหนือและทิศใต้ ต่อมาในรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ก่อผนังอิฐฉาบปูนต่อเติมหลังคาเป็นยอดปราสาท พ.ศ. 2492 มีการต่อเติมสร้างเฉลียงไม้ด้านตะวันออกเป็นสีหบัญชร
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เสด็จออก ณ ท้องพระโรง เพื่อให้ผู้นำศาสนา และผู้แทนคณะพาณิชย์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล และเสด็จออก ณ สีหบัญชร เพื่อให้พสกนิกร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล
วัดบวรนิเวศวิหาร พื้นที่เดิมเป็นที่ตั้งของ 2 วัด ประกอบด้วย วัดรังษีสุทธาวาส และ วัดใหม่หรือวัดวังหน้า ครั้น พ.ศ. 2397 ในรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้รวมวัดทั้ง 2 เข้าด้วยกันและพระราชทานนามวัดขึ้นใหม่เป็น วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ขณะทรงพระผนวชเป็นเจ้าอาวาสวัด ได้ตั้งคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายขึ้นที่นี่ครั้งแรก
วัดบวรนิเวศวิหาร รัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 ประทับจำพรรษาขณะทรงพระผนวช รัชกาลที่ 9 ทรงพระผนวชและประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ประทับจำพรรษาขณะทรงพระผนวช เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชกรุงรัตนโกสินทร์ 4 พระองค์
ภายในวัดมีแผนผังศาสนสถานตามอย่างสมัยรัตนโกสินทร์ มีพระเจดีย์เป็นประธาน มีพระวิหารและพระอุโบสถเป็นอาคารประกอบหลัก มีลักษณะสถาปัตยกรรมไทยผสมจีนตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในพระอุโบสถเขียนภาพปริศนาธรรม ฝีมือบรมครูขรัวอินโข่ง และประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ ที่อัญเชิญมาจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ภายใต้พุทธบัลลังก์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อทรงนมัสการพระพุทธชินสีห์ และถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 โดยมีพระมหาเจดีย์เป็นศูนย์กลางของวัด ส่วนพระอุโบสถ พระวิหารตั้งอยู่รอบข้างเชื่อมถึงกันด้วยระเบียงคดรอบพระเจดีย์ ทุกอาคารประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ ภายในพระอุโบสถและพระวิหารประดับตกแต่งตามแบบสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมตะวันตก มีพระพุทธอังคีรส เป็นพระประธานในพระอุโบสถ ภายใต้พุทธบัลลังก์ประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 7 พระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 และพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 9 ชานกำแพงด้านทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งสุสานหลวงบรรจุพระสรีรางคารพระบรมวงศานุวงศ์
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จสังฆราชมาแล้ว 2 พระองค์ และสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เพื่อทรงนมัสการพระพุทธอังคีรส และถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 7 รัชกาลที่ 9 และพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่าในสมัยอยุธยา ชื่อวัดโพธาราม หรือวัดโพธิ์ ขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม พระราชทานนามว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขยายอาณาเขตพระอารามด้านทิศใต้และทิศตะวันตก รวมถึงจารึกความรู้สรรพวิชาการ เช่น ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ตำราการแพทย์แผนไทย ตำรานวด และตำรายา ไว้ตามเสาศาลารายโดยรอบ ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ แล้วทรงเปลี่ยนสร้อยนามพระอารามเป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พระอารามแห่งนี้มีสิ่งสำคัญประกอบด้วย พระอุโบสถเก่า พระวิหารพระพุทธไสยาส พระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล และประติมากรรมรูปฤๅษีดัดตน ใต้พุทธบัลลังก์พระพุทธเทวปฏิมากรพระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงถือกันว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพื่อทรงนมัสการพระพุทธเทวปฏิมากร และถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 1
วัดสุทัศนเทพวราราม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ตรงพื้นที่ที่เป็นศูนย์รวมชุมชนและศูนย์รวมศาสนสถานทั้งพุทธและพราหมณ์กลางพระนคร แผนผังเขตพุทธาวาสจำลองภูมิจักรวาลตามคติมณฑลแบบพุทธ พระวิหารหลวงประดิษฐานพระศรีศากยมุนีหรือหลวงพ่อโต ซึ่งอัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัย ชุกชี (ฐานพระพุทธรูป) ประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 8 ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมพุทธประวัติ และเรื่องในวรรณคดี ด้านหน้าพระอุโบสถมีสัตตมหาสถานหรือสัญลักษณ์แสดงสถานที่พระพุทธองค์ประทับภายหลังการตรัสรู้ 7 แห่ง ด้วยความสำคัญของสถานที่ตั้งและคติความเชื่อทางศาสนา วัดสุทัศน์จึงเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนาของบ้านเมือง
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 เป็นสถานที่เสกน้ำอภิเษกรวมจาก 77 จังหวัด เพื่อแห่เชิญคนโทน้ำอภิเษกไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดอรุณราชวราราม เดิมชื่อวัดมะกอก สร้างในสมัยอยุธยา ปฏิสังขรณ์สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้ง และเปลี่ยนเป็นวัดอรุณราชวรารามหลังการปฏิสังขรณ์อีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 2 วัดนี้มีศาสนสถานสำคัญ คือ พระปรางค์ที่สร้างมาแต่รัชกาลที่ 2 และสร้างเพิ่มเติมแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการฉลองในรัชกาลที่ 4 โดยมีพระปรางค์ประธานขนาดใหญ่สูง 81 เมตร มีพระปรางค์องค์เล็กและมณฑปประจำทิศทั้ง 4 ทั้งหมดมีสีขาวประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องสีงดงาม พระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยนามว่า พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก ที่หน้าพระประธานประดิษฐานพระอรุณหรือพระแจ้ง ศิลปะล้านช้าง อัญเชิญมาไว้แต่ครั้งรัชกาลที่ 4
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน ปลายเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2562













