"กกต."แจกใบส้ม! เชือด "สุรพล เกียรติไชยากร" ว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย เขต 8 เชียงใหม่ คนแรก ปมซื้อเสียง ชี้โทษหนักจ่อส่งศาลฎีกาแจกใบดำ-ใบแดงซ้ำ ด้าน "เจ้าตัว" โวยกกต.ด่วนสรุป ยันนำเงิน 2 พัน ถวายพระร่วมทำบุญ ส่วน"ธนาธร"ขอบคุณทุกกำลังใจ ลั่นเดินหน้าสู้คดีโอนหุ้นสื่อ-กลับไทย25 เม. ย.นี้ "ทนายความ" เผย "ธนาธร"มีเวลา7วัน ชี้แจง ยันถึงไทยเรียกประชุมทันที "บิ๊กป้อม"มั่นใจตั้งข้อกล่าวหา"ธนาธร"ไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย ขณะที่"บิ๊กตู่"บอกครั้งที่ 100 กกต.ฟัน"ธนาธร" ไม่ใช่ใบสั่งคสช. หวังจัดตั้งรัฐบาลได้ตามกลไกสภา ชี้ "คสช."วางโรดแมปแล้ว ลั่นไม่เคยบิดพริ้วพร้อมแจงแจกเงิน 1,500 บาท เที่ยวเมืองรองยังไม่ได้ข้อยุติอยู่ในขั้นตอนศึกษา อย่าเพิ่งตื่นตระหนก เมื่อวันที่ 24เม.ย.62 ผู้สื่อข่าวราอยงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เมื่อวันที่ 23 เม. ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมกกต.มีมติสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง นายสุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ส.ส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ชั่วคราว1ปี หลังเห็นว่าพฤติการณ์ของนายสุรพลเข้าข่ายผิดพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.มาตรา73(2) และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ 8 จ.เชียงใหม่ และยังดำเนินการเอาผิดนายสุรพล ตามมาตรา 138 โดยร้องต่อศาลฎีกา เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ใบดำ) หรือสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง)ต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่24มี.ค.ของเขตเลือกตั้งที่8จ.เชียงใหม่ นายสุรพล ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนน52165คะแนน ตามมาด้วย ด้าน นายสุรพล กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่ากลุ่มคนจอมทองและผู้รักประชาธิปไตยจอมทอง ได้ไปยื่นร้องต่อ กกต.จังหวัดเชียงใหม่ ขอให้ตรวจสอบกรณีการทอดผ้าป่าในพื้นที่ ที่อาจเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ ซึ่งตนเองก็ได้ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดต่อ กกต.แล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทอดผ้าป่าดังกล่าว แต่มีการถวายปัจจัยให้กับพระรูปหนึ่งเป็นจำนวน 2,000 บาท ซึ่งไม่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ เพราะพระรูปดังกล่าว ไม่มีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งอยู่แล้ว และเป็นการถวายในนามส่วนตัว โดยพระรูปดังกล่าว ก็ได้เป็นพยานเข้าชี้แจงต่อ กกต.ด้วยเช่นกัน "เราบริสุทธิ์ใจไม่ได้คิดอะไร และได้ทำเอกสารชี้แจงไปที่พรรค และได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมต่อประธาน กกต.ว่าถูกกลั่นแกล้ง เพราะทราบมาว่ามีการสรุปเรื่องเมื่อวันที่ 23 เม.ย.จากนั้นก็มีการชี้มูลทันที โดยไม่รับฟังคำชี้แจงของผมเลย"ผมคาดไม่ถึงที่ กกต.จะมีมติเช่นนี้ ทั้งที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดไปแล้ว และแปลกใจ ที่ กกต.ตั้งเป้าพิจารณาข้อร้องเรียนเฉพาะพรรคการเมืองบางพรรค แต่เมื่อมีมติออกมาก็ต้องยอมรับ" ส่วน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความพร้อมคลิปวีดีโอ ผ่านเฟซบุ๊กหลัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหาการถือครองหุ้นสื่อ ที่อาจส่งผลให้ขาดคุณสมบัติในการเป็น ส.ส. ว่า "ตอนนี้อยู่ที่เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักรและได้ทราบข่าวแล้ว ขอทุกคนไม่ต้องห่วง ตนและแกนนำพรรค มีกำลังใจดีอยู่ เชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเอง และเชื่อว่า กรณีนี้เป็นความมุ่งหวังทำลายกันในทางการเมือง จะสู้คดีอย่างเต็มที่ และจะเลื่อนวันกลับไทยให้เร็วขึ้น คิดว่าน่าจะเป็นช่วงวันที่ 25 เม.ย.นี้ เพื่อจะชี้แจง ข้อกล่าวหาต่างๆ ต่อ กกต.ด้วยตนเอง และเชื่อมั่นว่าจะก้าวผ่านจุดนี้ไปด้วยกัน ก่อนทิ้งท้าย ขอบคุณทุกกำลังใจดีๆ ที่มอบให้ นายวรวุฒิ บุตรมาตร ทีมทนายความพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ของกกต.ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาต่อนายธนาธร มาที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ และที่บ้านพักของนายธนาธร โดยตามกรอบเวลานับตั้งแต่วันนี้ นายธนาธรมีเวลา 7 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 1 พ.ค.ที่จะชี้แจงข้อกล่าวหา ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ถ้อยคำ หรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา และมีสิทธิที่จะให้ทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้และว่าทันทีที่นายธนาธร เดินทางกลับถึงไทย ในวันที่25 เม.ย. จะเรียกประชุมทันที เพื่อพิจารณาชี้แจงแนวทางแก้ข้อกล่าวหา ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีกกต.มีมติแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธรจะนำไปสู่ความวุ่นวายหรือไม่ว่า ไม่วุ่นวาย เพราะกกต.ดำเนินการตามกฎหมาย เราไม่ได้ไปยุ่งอะไร ประชาชนก็รู้ดี และมั่นใจว่าประเด็นนี้จะไม่นำไปสู่ความวุ่นวาย ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนอยากบอกเป็นครั้งที่ 100 แล้วว่า คสช.ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ และทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกกต. ซึ่งหลายอย่างก็เข้าสู่กระบวนการศาล ดังนั้นคสช.จึงไม่มีอำนาจเกี่ยวข้อง และตนไม่สามารถสั่งอะไรใครได้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงข้อสังเกตที่มีแนวโน้มจะตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งไม่ได้ว่า ยังคาดหวังและมุ่งหวังให้มีการจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อประโยชน์ของประเทศ ถ้าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ก็จะเป็นปัญ หาต่อไปในอนาคต มีผลพวงไปถึงเรื่องเศรษฐกิจด้วย เมื่อถามว่า เตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดความวุ่นวายอีกครั้งจากสถานการณ์ทางการเมืองอย่างไรพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคนไทยทุกคนคิดว่าประเทศจะต้องสุขสงบ ในการมีรัฐบาลต่อไปที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะเป็นการคัดเลือกจากประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ฉะนั้นทุกคนจะต้องคิดว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความวุ่นวาย และขอให้ทุกฝ่ายเอาประเทศและประชาชนเป็นตัวตั้ง ความขัดแย้งในโลกใบนี้มีมากมาย โดยเฉพาะสงครามการค้าต่างๆ ที่อาจจะกระทบเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออก การใช้จ่ายในประเทศ ถ้าทุกคนยังหวาดระแวงอยู่แบบนี้ ทุกอย่างจะแย่ไปหมด ฉะนั้นไม่ว่ารัฐบาลไหน ก็ทำไม่ได้ ถ้ายังมีความขัดแย้ง เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าสถานการณ์ในวันนี้จะสามารถเลือกนายกฯในบัญชีพรรคการเมืองในสภาและจัดตั้งรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องเชื่อมั่นอย่างนั้น เพราะเราได้กำหนดโรดแมปไว้แล้ว ก็ต้องเดินหน้าไปตามโรดแมป และจะเห็นได้ว่า ตนไม่ได้บิดพลิ้วจากโรดแมปต่างๆ ที่มีมา เว้นแต่ในช่วงแรกที่มีปัญหาในเรื่องของกฎหมายไม่เรียบร้อย "วันนี้ถ้าจะไปสู่การเดินหน้าตามรัฐธรรมนูญ การมีรัฐบาลอะไรต่างๆ ด้วยความสงบสุขสันติ ก็ต้องฟังผมบ้างและต้องช่วยผมในการทำให้บ้านเมืองสงบสุข เรายิ่งทะเลาะกันมากเท่าไหร่ ขัดแย้งกันมากเท่าไหร่ เรายิ่งสร้างเฮดสปีสกันมากเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ออกไปต่างประเทศทั้งหมด แล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้นได้อย่างไรมีผลกระทบทั้งสิ้น" พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อพยุงเศรษฐกิจช่วงกลางปี 62 คนละ 1,500 บาท ว่า หลายอย่างเป็นเรื่องที่รัฐบาลยังไม่ดำเนินการ เป็นเพียงข่าวที่สื่อนำเสนอ ซึ่งทำให้เกิดความสับสน ดังนั้นที่มีข่าวว่ารัฐบาลจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาช่วงนี้ ขอบอกว่าเป็นเพียงการศึกษาและปรึกษาหารือกัน ของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพียงแต่วันนี้ข่าวออกมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวเมืองรอง สื่ออย่ามาถาม มันยังไม่มีข้อสรุปอะไรออกมา บางทีเป็นแค่การหารือกัน เพื่อหาข้อสรุป ยืนยันว่ายังไม่ได้ข้อยุติ เพราะมีหลายอย่างเกี่ยวข้องไม่ใช้ให้เงินแล้วจบ ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่องของภาษีซึ่งคณะกรรมการกำลังพิจารณาอยู่ ขอร้องทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการทางเศรษฐกิจมีผล 2 อย่าง เพราะเศรษฐกิจของประเทศขึ้นอยู่กับการส่งออก เมื่อโลกมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ มีสงครามการค้าก็จะส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออก จึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มการใช้จ่ายในประเทศ ถ้าทุกคนไม่กล้าที่จะใช้เงิน ยุ่งแต่เรื่องการเมือง ทุกอย่างก็หยุดไปหมด แล้วรัฐบาลจะทำอะไรได้ วันนี้จึงอยากขอร้องประชาชนทุกคนที่มีขีดความสามารถในการใช้จ่ายเงินต้องช่วยกัน มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย คนไม่มีรัฐบาลก็จะดูแลให้สามารถดำรงชีพอยู่ต่อไปได้ ถือเป็นหลักการสำคัญ ถ้าเราไม่ช่วยกัน ทุกคนไม่ยอมเสียอะไรเลย อยากจะได้เพียงอย่างเดียวก็ไม่มีใครทำอะไรให้ได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องหามาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศให้ได้มากยิ่งขึ้น เงินเหล่านี้ก็จะลงไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต ทั้งเอสเอ็มอี โรงงานอุตสาหกรรม ที่เป็นภาคการผลิต แต่ถ้าคนซื้อไม่ยอมซื้อและไม่กล้าใช้จ่ายเงิน แล้วจะไปผลิตให้ใคร รัฐบาลต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในไตรมาสแรกผ่านไปแล้ว 2 เดือน เหลืออีก 1 เดือน จากนั้นต้องมาดูในไตรมาส 2 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เพราะถ้ามีปัญหาผลกระทบจะตกไปอยู่ที่ประชาชน รัฐบาลจึงต้องหามาตรการที่เหมาะสม แต่ก็ต้องระมัดระวังในข้อกฎหมาย โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณ นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลนี้ระมัดระวังอย่างเต็มที่ ทำงานทุกอย่างด้วยความรอบคอบ หลายอย่างคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแก้แบบนี้ แต่เราจำเป็นต้องแก้ไขให้เป็นระบบเพื่อไม่ให้เป็นภาระรัฐบาลต่อไป เหมือนกับที่ปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นมาก่อนรัฐบาลนี้ แต่เราต้องมาแก้ไข ทั้งปัญหาผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ปัญหาสิทธิประโยชน์ การร่วมลงทุนการค้า เพราะทุกอย่างรัฐบาลเป็นคู่สัญญา เมื่อเกิดปัญหารัฐบาลต้องรับผิดชอบและแก้ปัญหาให้ได้ ทุกอย่างจึงต้องช่วยรัฐบาลในการแก้ปัญหา ไม่อย่างนั้นก็จะตีกันไปมา เรื่องก็จะไม่จบ แก้ปัญหาไม่ได้ ประชาชนก็ไม่เข้าใจ ก็ไปโพสต์ข้อความกันต่อ กลายเป็นปัญหาให้รัฐบาลทำงานได้ยากขึ้น อีกทั้งสถานการณ์ก็บังคับ แต่ถ้าทุกคนร่วมมือกันก็จะไปได้ทั้งหมด อย่างลืมประเทศไทยมีศักยภาพ เพียงแต่เราต้องรักกัน สามัคคีกันให้มากขึ้น ต้องเข้าใจระบบเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าทุกคนเรียกร้องอยากได้ แต่ไม่ยอมให้ความร่วมมือก็ไม่สามารถที่จะเดินต่อไปได้ ไม่ว่าจะออกมาตรการอะไรออกมา