"นายกฯ"ชี้ศาลตีกลับข้อหาเจตนาฆ่า"เสี่ยเบนซ์"ชน ตร.กองปราบดับว่าไปตาม กม. "โฆษกกระทรวงกลาโหม" แจง "เสี่ยเบนซ์" ต้องได้รับโทษสูงสุด หลังศาลไม่รับฟ้องข้อหาเจตนาฆ่า ขณะที่บริษัทสินมั่นคงประกันภัยเผยประกันเบนซ์หรูคันก่อเหตุแค่ประเภท 5 (3+) แถมเจอกฎเหล็กใหม่ประกันไม่จ่ายกรณีประมาทแล้วตรวจพบแอลกอฮอลล์เกิน 50มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ต้องซ่อมรถเองและรับผิดชอบรถคู่กรณีอีกดอก แถมความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลลูกสาวรองผกก. ยังไม่พอ สองบริษัทมีความคุ้มครองจ่ายได้แค่ 5.8 แสนบาท จากกรณีศาลจังหวัดตลิ่งชัน ตัดคดีพยายามฆ่าของ นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 57 ปี เจ้าของบริษัท ไทยคาร์บอนแอนด์กราไฟต์ จำกัด ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีเมาแล้วขับ หลังขับรถเบนซ์ รุ่นอี 250 สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ษฮ 789 กรุงเทพมหานคร ชนกับรถเก๋งยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสวิฟท์ สีขาว ทะเบียน 2 กก 3653 กรุงเทพมหานคร เป็นเหตุให้ พ.ต.ท. จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2 กองบังคับการกองปราบปราม คู่กรณีเสียชีวิตในจุดเกิดเหตุ ส่วนนางนุชนาถ งาม สุวิชชากุล อายุ 44 ปี ภรรยาบาดเจ็บสาหัสไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และ ด.ญ.พิชญาภา งามสุวิชชากุล อายุ 12 ปี บุตรสาวได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกนำส่ง รพ.วิชัยเวช โดยตำรวจคุมตัวนายสมชายไปฝากขังผัดแรกที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน โดยแจ้งข้อหา 5 ฐานความผิดคือ 1.ฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา 2.พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 3.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4.ขับรถในขณะมึนเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และ 5.ขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้มีทรัพย์สินได้รับความเสียหาย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 เม.ย.62 พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ของรัฐบาล โดยเฉพาะกรณีการเมาแล้วขับหลังเกิดเหตุเสี่ยเบนซ์เมาขับรถชนตำรวจจนเสียชีวิต แต่ศาลไม่รับข้อหาเจตนาฆ่า ว่า ในเรื่องของคดีความนั้น ต้องว่ากันไปตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และเน้นย้ำว่าทุกอย่างมีกฎหมายอยู่แล้ว จึงต้องว่าไปตามกฎหมาย ด้าน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีเสี่ยเบนซ์เมาแล้วขับรถชนตำรวจจนเสียชีวิตซึ่งต่อมาศาลพิจารณาแล้วไม่สามารถรับฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนาและข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ว่า พล.อ.ประวิตรได้เน้นย้ำในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายสูงสุดในโทษเมาแล้วขับกับผู้ที่มีพฤติกรรมเมาแล้วขับ ดังนั้นในกรณีที่ไม่เข้าข่ายในเจตนาฆ่าแต่จะเป็นการบังคับใช้กฎหมายโทษสูงสุดกับคนเมาแล้วขับกรณีที่ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็จะดำเนินการในข้อหาสูงสุดคือติดคุกและไม่มีการยอมความอะไรทั้งสิ้น ซึ่งถือว่าเป็นมาตราการที่รุนแรง ทั้งนี้กรณีดังกล่าวแม้ศาลจะพิจารณาว่าไม่เข้าข่ายว่าเจตนาฆ่าแต่ผู้ก่อเหตุก็จะต้องได้รับโทษสูงสุดอย่างแน่นอน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าว่า จากการตรวจสอบข้อมูลประกันภัยเบื้องต้นพบว่า รถเบนซ์นายสมชายได้ทำประกันประเภท 3 พลัส หรือประเภท 5 และพ.ร.บ.ฯ ไว้กับบมจ.สินมั่นคงประกันภัย โดยจะให้ความคุ้มครองความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกสำหรับความเสียหายชีวิต ร่างกาย และอนามัยจำนวนไม่เกิน 3 แสนบาทต่อคน และความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือรถตัวเอง ไม่เกิน 2 แสนบาท ส่วนทรัพย์สินของคู่กรณีคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาท จากกรณีเมาแล้วขับโดยจากผลตรวจเลือดมีปริมาณแอลกอฮอลล์สูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ตามที่กฎหมายกำหนดนั้น ส่งผลให้ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ไม่คุ้มครองในการซ่อมหรือความเสียหายรถยนต์ทั้งของนายสมชายเอง ส่วนรถของพ.ต.ท.จตุพร นั้น พ.ต.ท.จตุพรซื้อประกันประเภท 1 ไว้กับ บมจ.วิริยะประกันภัย ซึ่งมีความคุ้มครองตัวรถเอาไว้ทุนประกัน 260,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนประมาณ 80%ของราคารถ และเมื่อ บมจ.วิริยะประกันภัย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว จะไล่เบี้ยเรียกคืนจาก บมจ.สินมั่นคงประกันภัย นอกจากนี้ส่วนเกินที่เหลือประมาณ 20% สามารถเรียกร้องจาก บมจ.สินมั่นคงได้เพิ่มเติมจนเต็มราคารถ ซึ่งทั้งสองจำนวนรวมประมาณ 320,000 บาท และเมื่อมีการจ่ายไปแล้ว บมจ.สินมั่นคงประกันภัยจะต้องไปไล่เบี้ยเรียกคืนจากผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับได้อีกเต็มจำนวน ในส่วนประเด็นความคุ้มครองชีวิตร่างกายกรณีเสียชีวิตและบาดเจ็บของ พ.ต.ท.จตุพร และครอบครัวนั้น กรณีนายสมชายเป็นฝ่ายผิด จะมีความคุ้มครองวงเงินสูงสุดตามเงื่อนไขกรมธรรม์ของ บมจ.สินมั่นคงฯ ในส่วนของความเสียหายต่อชีวิตร่างกายอนามัย ดังนี้คือ กรณีของ พ.ต.ท.จตุพร จะได้รับค่าสินไหมตาม พรบ. เต็มทุน 300,000 บาท และตามประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 จำนวน 300,000 บาท (แต่จำนวนนี้จะถูกเรียกคืนจากนายสมชาย) รวมทั้งสิ้น 600,000 บาท กรณีของ นางนุชนาถ งามสุวิชากุล 3 แสนบาท จะได้รับค่าสินไหมตาม พรบ. เต็มทุน 300,000 บาท แต่ต้องหักค่ารักษาพยาบาลตามจริงก่อนเสียชีวิตไปก่อน และตามประกันภัยรถยนต์ประเภท 5 จำนวน 300,000 บาท รวม 600,000 บาท เช่นเดียวกัน ส่วน บมจ.วิริยะประกันภัย ที่ พ.ต.ท.จตุพร และครอบครัวประสบเหตุ มีการทำประกันภัย พรบ. และประเภท 1 ไว้ จะมีจ่ายสินไหมกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ(แนบท้ายประกันพีเอ)ให้ทั้งพ.ต.ท.จตุพร และนางนุชนาถรายละ 2 แสนบาท ใน ขณะที่นางสาวพิญาภาบุตรสาวนั้นคงจะมีปัญหาในแง่ของค่ารักษาพยาบาลซึ่งบริษัทประกันทั้ง 2 อาจจะให้ความคุ้มครองไม่เพียงพอกับค่ารักษาพยาบาลของสถานพยาบาลที่ทำการรักษาอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลขณะนี้ทางญาติได้แสดงความกังวลว่าอาจจะเกินกว่า 2 ล้านบาทอย่างแน่นอน แต่วงเงินความคุ้มครองที่บริษัทประกันฯจะจ่ายให้จริงไม่เพียงพอ โดยแบ่งเป็นความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล พ.ร.บ.ฯ จ่ายจริงไม่เกิน 8 หมื่นบาท และประกันประเภท 5 ของ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกสำหรับความเสียหายชีวิต ร่างกาย และอนามัยจำนวนไม่เกิน 3 แสนบาทต่อคน รวมเป็นจำนวน 380,000 บาท เมื่อนำมารวมกับความคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคลในกรมธรรม์ของ บมจ.วิริยะประกันภัย ที่คุ้มครองให้อีก 2 แสนบาท รวมแล้วเพียง 5.8 แสนบาท รวมค่าชดเชยที่จะได้จากบริษัทประกันที่เป็นฝ่ายละเมิดอีกวันละ 200 บาท ไม่เกิน 20 วัน ก็ตก 4,000 บาท รวมแล้ววงเงินค่ารักษาพยาบาลที่ทั้ง 2 บริษัทประกันจะจ่ายได้ก็คือ 584,000 บาทเท่านั้น เพราะฉะนั้น ส่วนที่เกินย่อมตกเป็นภาระของนายสมชายเจ้าของรถเบนซ์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายส่วนต่างค่ารักษาพยาบาลที่ยังขาดไปอย่างแน่นอน