นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า ภาพรวมอสังหาฯ ไตรมาส 2  บริษัทเชื่อว่าดีมานด์ที่ต้องการมองหาที่อยู่อาศัยใหม่มีต่อเนื่อง แม้มาตรการแอลทีวีจะมีผลบังคับใช้ และมั่นใจจะไม่ได้กระทบทั้งตลาด แต่ขณะเดียวกันข้อดีของมาตรการกลับช่วยให้ลูกค้าเรียลดีมานด์สามารถเข้าถึงสินค้าที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น และยังช่วยบริหารจัดการภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ดังนั้น บริษัทยังดำเนินงานตามแผนที่ประกาศช่วงต้นปี คือ การวางแผนแบบรบยาว เน้นความเข้าใจดีมานด์ในแต่ละทำเล เพื่อพัฒนาและส่งมอบสินค้าที่แตกต่าง โดยการบุกทุกเซกเมนต์เปิดตัวครบทั้ง 9 แบรนด์ในเครือ ภายใต้การส่งมอบคุณภาพการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตให้กับผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างยั่งยืน  ขณะที่ไตรมาส 2  บริษัทมีเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่า 19,720 ล้านบาท แบ่งเป็นเป็นทาวน์โฮมจำนวน 9 โครงการ มูลค่า 8,560 ล้านบาท, บ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 2,360 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท ส่วนตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 1 มีแนวโน้มเติบโตดี จากกำลังซื้อในธุรกิจอสังหาฯ ที่มีอยู่มาก ทั้งสินค้าแนวราบและแนวสูง เห็นได้จากยอดขายรวมของบริษัทที่ทำได้กว่า 12,585 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 6,365 ล้านบาท และแนวราบมูลค่า 6,220 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 25% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 10,016 ล้านบาท เป็นผลงานที่น่าพอใจ เนื่องจากเป็นไตรมาสที่บริษัทฯ มีโครงการเปิดใหม่ไม่มาก ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 30% ของเป้ายอดขายปี 2562 ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ ณ 31 มี.ค. 2562 บริษัทมีสินค้ารอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 58,960 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ มูลค่า 11,140 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมรวมโครงการร่วมทุน มูลค่า 47,820 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเอพี 6,530 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ในปีนี้ประมาณ 3,395 ล้านบาท และคอนโดร่วมทุน 41,290 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ประมาณ 7,750 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566 สำหรับแผนการดำเนินงานธุรกิจอสังหาฯทั้งปีบริษัท เอพีมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 39 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 56,800 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 22,400 ล้านบาท แนวราบ 34 โครงการ มูลค่า 34,400 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายยอดขาย 41,800 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้รวม 35,900 ล้านบาท (100%JV)